วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ทฤษฎี กับ เรื่องจริงๆ
สำหรับคนที่เรียนทางด้านบริหารธุรกิจมาคงได้เรียนรู้ ทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจมามากมาย ตั้งแต่ในด้านการตลาด การบริหาร การวางกลยุทธ์ หรือ แม้ในแต่เรื่องการควบคุมการผลิต ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เรียนมาก็จะถูกปลูกฝังอยู่เสมอ ว่าต้องเชื่อและต้องทำตาม เพราะทฤษฎีนั้นเกิดจากการที่นักวิชาการได้ทำสำรวจและศึกษา เศรษฐกิจ ตลาด และจากผลของการดำเนินธุรกิจของหลากหลายบริษัทชั้นนำ จากนั้นนำมาวิเคราะห์และสรุปเป็นทฤษฎี
แต่ในความเป็นจริงนั้น ทฤษฎีต่างๆนั้นแทบจะไร้ประโยชน์มากๆหากคนที่รู้ไม่นำไปปฏิบัติในชีวิตจริงใน การทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบการศึกษาในไทยนั้นปลูกฝังให้นักเรียนท่องจำ แต่ไม่เข้าใจ พอถึงเหตุการณ์จริงๆก็นำไปประยุกต์ใช้ไม่ได้ แต่คุณรู้มั๊ยครับว่า ยังมีที่แย่และร้ายแรงกว่านั้น คือ นำทฤษฎีไปใช้ในแบบผิดๆ หรือใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม
ก่อนอื่นๆ เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทฤษฎีนั้นเกิดจากการรวบรวมข้อมูลในอดีต และ นำมาสรุปวิเคราะห์เป็นทฤษฎี ผมขอย้ำนะครับ ว่าเป็น ข้อมูลใน “อดีต” ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างไม่มากก็น้อย และ ทฤษฎีต่างๆมักจะมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขอยู่ตลอดเวลา แต่คนไทยเราบางครั้งอาจจะรับรู้ได้ช้ากว่าทางประเทศตะวันตก ซึ่งหนังสือเรียนเค้ามี Update กันเกือบจะทุกปี แต่ในบ้านเรา 10 ปีผ่านไป เรายังใช้หนังสือและความรู้เล่มเดิมๆกันอยู่เลยครับ
ที่ผมบอกไปว่า การนำทฤษฎีไปใช้ในแบบผิดๆ หรือใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงได้ เนื่องจาก เรานำสิ่งที่เรียนรู้มาไปใช้โดยไม่ได้ ประยุกต์ปรับเปลี่ยน หรือ ดัดแปลงให้เหมาะสมกับ ธุรกิจของเรา เช่น
- ทฤษฎีส่วนใหญ่มาจากอเมริกา สภาพแวดล้อม และ ตลาดต่างๆเกิดขึ้น อเมริกา แต่เราประยุกต์ใช้ในประเทศไทย ซึ่งสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมก็แตกต่างกันอย่างมาก
- บริษัทที่เค้าสำรวจและวิเคราะห์ในการทำทฤษฎี ส่วนใหญ่เป็นบริษัทใหญ่ระดับโลก แต่ธุรกิจเราอาจจะเป็นแค่ SME เล็กๆในประเทศเล็กๆ
ทฤษฎี ที่ผมเห็นคนใช้ผิดเป็นประจำ เช่น บริษัทต้องมี Vision และ Mission เราก็ทำตามที่ฝรั่งเค้าบอก โดยไม่ได้เข้าใจมันอย่างแท้จริง บริษัทแทบจะทุกบริษัทมี Vision และ Mission ที่สวยหรู แต่ไม่มีใครเข้าใจ แม้แต่ เจ้าของเองก็ยังไม่เข้าใจ หรือจะเป็นเรื่อง ของ KPI, Balance Score Card หลายต่อหลายบริษัท ทำขึ้นมาโดยไม่ได้สะท้อนถึงหลักจริงๆของ ทฤษฎีเหล่านี้ ว่าเค้าทำมาเพื่ออะไร และทำไปทำไม แต่ก็อยากดูดี อยากเท่ ก็เลยนำไปใช้ สรุป คนที่ปวดหัว ก็คือ พนักงานที่ต้องมานั่งสรุปข้อมูล KPI อะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทเลย
ยิ่งเป็นพวกกลุ่มทายาทธุรกิจต่างๆที่จบมาจากนอก พอกลับมาก็ไม่เคยที่จะลงไปคลุกคลีกับการทำงานในระดับล่างๆ มาถึงก็ได้รับตำแหน่งใหญ่ๆโตๆ หลังจากนั้นก็ปรับเปลียนแก้ไขทุกอย่างให้เป็นตามแบบที่เรียนมาก หรือที่มีประสบการณ์มาจากเมืองนอก สุดท้ายไม่เข้าใจในธรรมชาติของธุรกิจตนเอง ก็เจ๊งกันไปหลายราย แต่ก็มีหลายกลุ่มบริษัทที่มีลูกหลานที่มีฝีมือ ที่รู้จริงและสามารถประยุกต์หลักการบริหารให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะ สม
ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อในบทความนี้คือ ทฤษฎี มันดี ถ้าเรารู้จักใช้ให้เป็น โดยเราต้องเข้าใจถึงที่มาที่ไปของแต่ละเรื่อง หลังจากนั้นเราจึงนำไปคิดและวิเคราะห์ต่อและปฏิบัติให้เหมาะสมกับธุรกิจของ เราเอง เราไม่จำเป็นต้องทำตามบริษัทใหญ่ ทำตามชาวตะวันตกทุกอย่าง เราควรจะเรียนรู้มาเพื่อปรับปรุงและประยุกต์ให้เป็นกลยุทธ์และทฤษฎีสำหรับคน ไทยอย่างเราๆ ไม่ว่าคุณจะฟังเรื่องราวต่างๆมาจากใคร อย่าเพิ่งปักใจเชื่อจนกว่าจะได้ลองและลงมือทำเองและเห็นผลสำเร็จเองครับ
ARA
#yesclub
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น