วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เริ่มลงทุนในตลาดหุ้น


ถึงแม้ผมจะเคยเขียนเรื่องให้ลงทุนในหุ้นไปบ้างแล้ว แต่วันนี้ผมขอมาพูดถึงหุ้นตั้งแต่เริ่มต้นเลยอีกที เผื่อว่าอาจจะมีบางท่านที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับหุ้นเท่าไร วันนี้ผมจะมาปูพื้นให้รู้จักหุ้นกันแบบพื้นฐานก่อนครับ

หุ้นคืออะไร

หุ้น หรือ หุ้นส่วน คือการที่คนมากกว่า 1 คนมาร่วมลงทุนทำธุรกิจด้วยกัน ลองนึกภาพง่ายๆเหมือนกับคุณหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านอาหาร คุณกับเพื่อนของคุณจะมีความเป็นเจ้าของตามสัดส่วนที่ลงทุนกัน ไม่ว่าจะลงเป็นเงิน ลงเป็นตึกอาคาร อุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้แต่ลงแรง แล้วจัดสรรปันส่วนกัน ก็จะได้สัดส่วนการถือหุ้นของแต่ละคน และก็จะได้สิทธิในการโหวตเท่ากับจำนวนหุ้นที่คุณถือ
เช่นเดียวกันกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อคุณซื้อหุ้น คุณซื้อความเป็นเจ้าของด้วยมากน้อยตามจำนวนที่คุณซื้อ ถ้าคุณซื้อ 100 หุ้น 1000 หุ้น หรือกี่หุ้นก็แล้วแต่ คุณมีสิทธิโหวตตามจำนวนหุ้นที่คุณมี และหากคุณมีหุ้นมากพอหรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คุณก็อาจจะโหวตเรื่องที่เป็นเรื่องการบริหารบริษัทได้ด้วย
แล้วนอกจากสิทธิการโหวตแล้วการซื้อหุ้นจะได้อะไรอีก

ผู้ถือหุ้นที่เข้าไปซื้อหุ้นๆนึงนั้น สิ่งที่คาดหวังกันนอกเหนือจากการเป็นเจ้าของและสิทธิการโหวตแล้วนั้น ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะบอกว่าเป็นเรื่องของกำไร (หรือขาดทุน) ซึ่งกำไรนั้นก็จะมาจากสองส่วน ส่วนแรกคือส่วนต่างของราคาซื้อและราคาที่ขาย หากราคาที่ขายมากกว่าราคาที่ซื้อ (และได้ทำการขายออกไปแล้ว) ก็จะเป็นกำไร แต่ถ้ากลับกัน ราคาขายน้อยกว่าราคาที่ซื้อก็จะเป็นขาดทุน และนอกจากนี้อีกส่วนที่จะได้ก็คือเงินปันผล (หากบริษัทมีกำไรและมีนโยบายการปันผลออกมา) ก็จะมีปันผลมาให้กับผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนกันไป

ครั้งต่อไปผมจะมาพูดถึงการเปิดบัญชีเพื่อที่จะทำการซื้อขายในตลาดหุ้นได้ครับ โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
Mr. N
‪#‎การลงทุนในหุ้น‬ ‪#‎กำไรจากหุ้น‬ ‪#‎ขาดทุนจากหุ้น‬ ‪#‎เงินปันผลจากหุ้น‬ ‪#‎ลงทุนในตลาดหุ้น‬

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

17 วิธีลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวแบบง่ายๆ ทำเองได้ ได้ผลจริงๆ


ปัญหาค่าใช้จ่ายเยอะ เงินแต่ละเดือนไม่พอใช้ แก้ได้สองทาง หนึ่งคือหารายได้เพิ่มเพื่อมาชดเชยรายจ่าย หรือลดรายจ่าย วันนี้ผมมีทิปเล็กๆน้อยๆเอามาเล่าสู่กันฟังสำหรับการลดค่าใช้จ่ายครับ

1. ทำงบบัญชีส่วนตัวเสมอ ดูซิว่ารายจ่ายเราไปอยู่ตรงไหนเยอะ ลองลดๆรายจ่ายส่วนนั้นดู

2. ออมก่อนหลังได้เงินเดือนที่เหลือค่อยใช้ ถ้าเหลือแล้วค่อยออม ปกติจะไม่ค่อยเหลือเก็บ

3. อยากได้อะไรไปดูแล้วอย่าพึ่งซื้อ ใช้เวลาอีกหน่อย อีกสองวันกลับมาดูใหม่ ถ้ายังอยากได้อยู่ค่อยตัดสินใจ โดยปกติแล้วพอมาดูอีกทีเหตุผลจะมีมากขึ้นหลายทีจะไม่ซื้อแล้ว

4. ใช้บัตรเครดิต แต่ไม่ได้เอาเงินอนาคตมาใช้ ใช้สำหรับสิ่งที่ต้องซื้อและมีเงินในบัญชีอยู่แล้ว ใช้เพื่อเอาแต้ม เผลอๆผ่อนได้ด้วย แต่ต้องระวังว่าไม่เกินเงินในบัญชีและเป็นสิ่งที่คุณต้องการซื้อจริงๆ

5. บุหรี่/กาแฟ ตกซองและแก้วละ 50-60 บาท เดือนนึงจะเป็นเงิน 1500-2000 ปีนึงคุณจะได้มือถือใหม่เครื่องแพงๆเครื่องนึง นอกจากประหยัด คุณจะสุขภาพดีขึ้นด้วย

6. แบ่งเงินออมเป็นหลายส่วน เงินออมสำหรับท่องเที่ยว เงินออมสำหรับซื้อของ เงินออมสำหรับนี่นั่นนู่น ค่อยๆหยอดไปทีละกอง สำหรับคนความอยากเยอะ คุณจะรู้ตัวเองตอนหยอดว่าเงินเก็บแค่นี้แต่ความอยากเยอะมาก คุณจะออมเยอะขึ้น หรือไม่ก็อยากน้อยลงไปเอง

7. ทำอาหารกินเองบ้าง เพราะกินอาหารข้างนอกโดยเฉพาะในห้าง แพงมาก ว่างๆอยู่บ้านทำอาหารกินเอง ไปซื้อของในตลาดมาทำ ได้ใช้เวลาว่างกับคนในครอบครัวไปด้วยแถมได้ประหยัดเงินอีกด้วย

8. เอาของไม่ได้ใช้ไปขาย ลองเลือกๆของที่ไม่ได้ใช้ในบ้านออกมา เอาไปขายคุณจะรู้เลยมีของมากมายที่ไม่ได้ใช้และไม่เกิดประโยชน์อะไร ได้เงินจากการขายมาคุณเอาไปทำอะไรได้อีกเยอะ บ้านก็จะโล่งขึ้นด้วย

9. ถ้ามีหนี้ รีบปิดหนี้อันที่มีดอกเบี้ยเยอะให้หมดเร็วที่สุด หนี้บัตรเครดิตมีดอกเบี้ยที่สูงมากพยายามอย่าเป็นหนี้บัตรเครดิตดีที่สุด ใช้แต่พอเพียงนะครับ แล้วก็อย่าผ่อนอะไรเกินความจำเป็น เกินตัวไป หนี้บ้านที่อยู่อาศัยก็ดอกเบี้ยทบต้นเยอะรีบๆปิดให้เร็ว ส่วนดอกเบี้ยรถไม่ต้องรีบครับส่วนใหญ่ดอกเบี้ยถูก fix มาแล้วปิดก่อนส่วนใหญ่ไม่ได้ดอกเบี้ยถูกลง

10. ถ้าชอบออกกำลังกาย ลองหาสวนใกล้บ้านไปออกกำลังกายดูแทนฟิตเนสก็ได้ และแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากสุขภาพจะดีแล้วมีรูปร่างที่ดีด้วย โรคภัยไข้เจ็บก็ยังไม่มีอีก

11. ตัดค่าใช้จ่ายต่างๆที่ไม่จำเป็นออกบ้าง อันนี้แล้วแต่คนนะ สมมติว่าปกติแทบไม่ได้อยู่บ้านเลย ค่าใช้จ่ายพวกเคเบิลอาจไม่จำเป็น คุณลองดูว่าอะไรที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ลองๆลดๆดูได้นะครับ

12. วางแผนภาษี (ไม่ใช่โกงภาษีนะครับ) แต่ให้ใช้สิทธิลดหย่อนอย่างเหมาะสม เอาเงินภาษีส่วนที่เราจ่ายเกินไปมา และวางแผนภาษียิ่งดีสำหรับคนมีครอบครัว สามีภรรยาครับเพราะจะวางแผนได้หลากหลายกว่า

13. โปรโมชั่น ใช้สำหรับตอนซื้อของที่ต้องใช้อยู่แล้วเช่น สบู่ แชมพู ต้องใช้ประจำทุกเดือน ถ้ามีโปรโมชั่นก็ซื้อเก็บไว้เลย แต่ไม่ใช่เจอโปรโมชั่นทุกอันซัดเรียบนะครับ เอาเฉพาะที่เราต้องใช้อยู่แล้ว เรียกได้ว่ารอเลยมีโปรโมชั่นแล้วต้องจัดเลยครับ

14. ซื้อแพ็คใหญ่คุ้มกว่าแต่ถ้าใช้ไม่หมดแล้วต้องทิ้งให้ซื้ออันที่เล็กลงกว่าเดิมให้ขนาดพอเหมาะ

15. สะสมแต้ม ถ้ายังไงก็ต้องซื้ออยู่แล้ว เอาแต้มด้วยเลย บัตรเครดิตส่วนใหญ่จะมีโปรโมชั่นด้วย

16. ซื้อของที่ต้องใช้ประจำเดือนใน supermarket/hypermarket อย่าไปซื้อตามร้านโชว์ห่วย หรือตามร้านสะดวกซื้อ เพราะราคาจะแพงกว่าเยอะ วางแผนกันซักนิด จดบันทึกไว้ในรายการที่ต้องซื้อในแต่ละเดือน

17. ให้รางวัลตัวเองแต่พอเหมาะ นิดๆหน่อยๆก็พอแล้วไม่ต้องเยอะครับ
ยังไงลองเอาไปทำดูนะครับ ได้ผลยังไงบอกกันด้วยนะ เผื่อมีเงินเหลือ อยากเอาไปทำอะไรเพิ่มเติมก็ได้ หรือจะเก็บเอาไว้ทำธุรกิจ หรือลงทุนในอนาคตก็ได้ครับ มีใช้แต่พอเพียงและเหลือพื้นที่ให้กับความสุขส่วนตัวด้วยนะครับ

Mr. N

#yesclub #ออมเงิน #ลดค่าใช้จ่าย

ธุรกิจนำเข้าส่งออก เริ่มต้นง่ายๆ ได้เอง

ธุรกิจนำเข้าส่งออก เริ่มต้นง่ายๆ ได้เอง

ต่อจากคราวที่แล้วผมเขียนถึงธุรกิจเทรดเดอร์ที่ไม่มีวันตายถึงจะมีอินเตอร์ เน็ตให้ผู้ซื้อหาสินค้าได้เองก็ตาม คราวนี้ผมจะเขียนถึงการเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้าส่งออก ซึ่งเป็นบริษัททางการค้าจริงๆ คือไม่มีการผลิตสินค้า โดยขอเน้นหลักๆ ที่ส่งออก เริ่มจากศูนย์ คราวนี้ไม่เกริ่นยาวแล้ว เรามาเริ่มกันเลยนะครับ

1. ขั้นแรกเราต้องกำหนดตัวตนของเราก่อนว่าเราอยากจะเป็นอะไรในตลาด เราทำอะไรในธุรกิจนี้ อยากให้คนรู้จักเราในทางไหนเราอยากนำเข้าหรืออยากส่งออก หรือทำทั้งสองอย่าง บริษัทที่เป็นเทรดเดอร์มีลักษณะธุรกิจอยู่ 3 แบบครับ แบบแรกคือ เป็นผู้ซื้อมาขายไป ซื้อถูกขายแพง แบบที่สองคือ รับจ้างจัดซื้อจากต่างประเทศและกินค่าคอมมิชชั่น และแบบสุดท้ายคือสร้างแบรนด์ตัวเองแล้วจ้างโรงงานผลิต จะทำแบบใดแบบหนึ่งหรือทำทั้ง 3 แบบก็ได้ไม่ว่ากันครับ ส่วนแบบที่เคยได้ยินกันมาว่าหาคู่ค้ามาเจอกันแล้วกินคอมมิชชั่นนั้นหมดสมัย แล้วครับ ไม่แนะนำให้ทำเพราะไม่ยั่งยืนเท่าไหร่

2. หาเงินทุน เงินทุนที่สำคัญที่สุดคือเงินทุนหมุนเวียน เพราะคุณคือคนกลาง ไม่ต้องเอาเงินไปจมกับเครื่องจักรแต่ต้องมีไว้ซื้อสต็อกแทน หรือบางคนอาจจะบริหารเงินเก่งจนไม่ต้องพึ่งพาเงินตรงนี้ก็ได้

3. สร้างตัวเราขึ้นมา กำหนดว่าเราจะทำธุรกิจในรูปแบบไหน
• เปิดบริษัทก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อความน่าเชื่อถือ เราต้องลงลึกไปถึงว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรให้ดูสื่อความหมายเกี่ยวกับประเภท สินค้าที่เราจะขายด้วย หรือหากยังไม่รู้จะขายอะไรก็ให้ตั้งชื่อกลางๆ ไว้ก่อน
• สร้างหลักแหล่งในการติดต่อ ได้แก่ ออฟฟิศ เบอร์โทร เว็บไซต์ อีเมล แฟกซ์

4. จดทะเบียนหรือเป็นสมาชิกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของเรา ได้แก่
• กรมสรรพากร ให้ไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ด้วยเลย
• ธนาคาร เปิดบัญชีเงินฝาก วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน วงเงิน L/C หลายแบงก์อาจต้องการสินทรัพย์ค้ำประกัน เช่น บ้าน ที่ดิน ฯลฯ
• กรมศุลกากร ลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้าส่งออก เพื่อให้ข้อมูลบริษัทเราอยู่ในระบบการส่งออกของกรมศุล
• กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ลงทะเบียนเป็นสมาชิกในการหาข้อมูลตลาด
• กรมการค้าต่างประเทศ ติดต่อเพื่อหาข้อมูลการนำเข้าของแต่ละประเทศ
ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าแค่เริ่มต้นหน่วยงานที่ต้องติดต่อก็เยอะแล้ว นี่ยังไม่นับถึงการขอใบอนุญาตต่างๆ อีกนะครับ

5. ศึกษาตลาดที่เราสนใจ ว่าต้องการสินค้าอะไรจากเรา และประเทศนั้นมีสินค้าอะไรที่ไทยต้องการ ตลาดอะไรใหญ่แค่ไหน ใครเป็นผู้เล่นรายหลัก ที่สำคัญให้ดูจริตเรากับสินค้าว่าเหมาะกันหรือไม่ เราชอบมั้ย ทำแล้วยิ่งสนุก หรือทำแล้วไม่อยากทำอีกเลย เมื่อเลือกประเภทสินค้าที่เราสนใจแล้ว ให้ศึกษา product knowledge ของสินค้านั้นๆ หาราคาตลาด คู่แข่ง พิธีการศุลกากร เช่น เอาสินค้าเข้าไปหรือเอาเข้ามาต้องทำยังไงบ้าง เสียภาษีเท่าไหร่ และมีสิทธิประโยชน์ทางการค้าอะไรบ้าง เช่น FTA หรือ GATT สิทธิประโยชน์ทางภาษี บางท่านอาจมีอีกแนวทางคือ มีสินค้าในใจอยู่แล้ว เน้นเฉพาะทางแล้วค่อยเลือกตลาด อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดครับ เราเลือกได้ว่าจะเน้นถนัดสินค้า แล้วกระจายตลาด หรือเน้นถนัดตลาดแล้วทำสินค้าให้ครอบคลุม

6. หาลูกค้า โดยมีวิธีการหาดังนี้
• ออนไลน์ ช่องทางนี้ผมใช้บ่อยที่สุด เพราะมันง่ายสุด ประหยัดสุด เร็วสุด ครอบคลุมมากที่สุด แต่ข้อเสียคือมันง่ายเกินไป ลูกค้าไม่จริงจัง และอาจจะเจอหลอกได้ง่าย เราควรทำเว็บไซต์เป็นของตัวเองและเป็นสมาชิกเว็บขายส่งดังๆ เช่น alibaba.com
• หารายชื่อจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อันนี้รายชื่อดีหน่อย เพราะผ่านการคัดกรองมาจากกรมแล้ว แต่อาจจะไม่อัพเดท หรืออัพเดทแล้วก็เป็นพวกอยู่ในวงการมานาน คุยยากหน่อย
• ออกงานแสดงสินค้า อันนี้ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าเลยครับ ไปหาลูกค้าตัวจริงเลย ได้ผลดีสุด
• อื่นๆ ได้แก่ ติดต่อรายชื่อห้างแล้วบินไปหาเค้าเลย (แพงมาก แต่อาจได้ผลดี), ลงโฆษณาในสื่อท้องถิ่น (ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีเพราะออนไลน์กันหมด), เป็นสมาชิกกับหอการค้านานาติ (อันนี้ผมก็เพิ่งเป็นสมาชิกครับ มีสิทธิพิเศษเยอะดี ลูกค้าบางรายก็อาจหาแหล่งนำเข้าจากที่นี่เหมือนกัน)

หลังจากหาลูกค้าเสร็จ ก็จะเป็นขั้นตอนการขาย เจรจาต่อรอง ปิดการขาย และดำเนินพิธีการศุลกากรรวมถึง การทำบัญชีและภาษี ซึ่งผมจะขอยกยอดไปเขียนในคราวถัดไปแทนนะครับ หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยครับ
KAL
‪#‎YESClub‬

ธุรกิจตัวเบาสำหรับคนยุคนี้

ธุรกิจตัวเบาสำหรับคนยุคนี้


ในยุคนี้ที่คนอยากทำธุรกิจมีเต็มบ้านเต็มเมือง จะหันไปทำอะไรก็มีคนทำอยู่แล้ว คู่แข่งเยอะไปหมด ลูกค้าก็มีความคาดหวังต่อสินค้าและบริการสูงขึ้นเรื่อยๆ สินค้าและบริการเกิดใหม่และสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว โรงงานใหญ่ๆ ก็กุมตลาดไว้หมดแล้ว ไม่มีที่ทางให้โรงงานเล็กได้เหลือรอด คนรวยนับวันยิ่งรวย คนจนนับวันยิ่งจน ผมเชื่อว่าเถ้าแก่หน้าใหม่อย่างพวกเราคงเคยว่าจะหาช่องทางทำมาหากินได้ยังไง เงินทุนน้อยกว่า คู่แข่งมีความชำนาญมากกว่า ในเมื่อเราเงินน้อย เราก็ต้องทำมาหากินแบบเป็นใช้ทุนน้อย ปรับเปลี่ยนได้เร็วครับ วันนี้ผมมีช่องทางทำมาหากินที่ลงทุนน้อยหรือเรียกว่าธุรกิจตัวเบามานำเสนอครับ

1. เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า
ถ้าให้เริ่มจากการเปิดโรงงานใหม่ เราจะสู้โรงงานที่มีอยู่เดิมไม่ได้แน่นอน ทั้งเรื่องต้นทุน ความชำนาญและลูกค้า ฉะนั้นเราต้องเริ่มต้นจากการขายของง่ายที่สุดครับ ไม่ว่าจะเริ่มจากการเป็นนักขายออนไลน์ พ่อค้าแผงลอย หรือเปิดบริษัทจัดจำหน่ายก็ได้ทั้งนั้น เน้นขายของและหาลูกค้าเป็นหลัก แล้วไปสั่งของจากโรงงานแทน เพราะธุรกิจสมัยนี้ใครมีลูกค้าอยู่ในมือ คนนั้นคือผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนคิดจะผลิตอะไร ขายให้ได้ก่อนครับ การเป็นตัวแทนทำให้ท่านเข้าใจด้านการตลาดได้อย่างดีเยี่ยม และสามารถหาตลาดจำหน่ายสินค้าได้ทั่วโลก

2. เป็นเจ้าของตลาดเฉพาะทาง
คนตัวใหญ่ต้องกินอาหารเยอะ คนตัวเล็กกินนิดเดียวก็อิ่ม โลกนี้มันมีสมดุลเสมอครับ ในเมื่อเราเป็นคนทุนน้อยตัวเล็ก ก็ต้องหาตลาดเล็กๆ ที่เรากินพออิ่ม ตลาดเฉพาะทางก็ตอบโจทย์ครับเป็นตลาดที่รายใหญ่ไม่อยากเล่น ยิ่งมีอินเตอร์เน็ตมาช่วยมากขึ้น การทำตลาดเฉพาะทางก็มีช่องทางมากขึ้นครับ ถ้าคุณขายเสื้อผ้าแฟชั่น คุณจะเจอคู่แข่งเป็นล้าน แต่ถ้าคุณขายเสื้อผ้าผู้ชาย ตลาดอาจจะเล็กลงหน่อย แต่คู่แข่งก็น้อยตาม หรือเสื้อผ้าสำหรับเพศที่ 3 เช่น ทอมหรือเกย์ ก็ยิ่งเจาะจงมากขึ้นครับ หรือถ้าคนที่เคยขายกีต้าร์ แล้วเจอคู่แข่งเยอะ บางคนก็หันมาขายอคูเลเล่ หรือ กีต้าร์สำหรับเด็ก สำหรับผู้หญิงแทน ทุกอย่างทำได้หมดครับ แต่ขอให้เลือกตลาดนึงแล้วเชี่ยวชาญไปเลย ลองคิดดูสิครับ ถ้าคุณเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดที่จำหน่ายอคูเลเล่ในเมืองไทย จะมีรายได้มากขนาดไหน

3. เป็นเจ้าของยี่ห้อสินค้า
ในเมื่อผู้เล่นเดิม เป็นผู้ผลิตสินค้าเก่งๆ เราก็ขอให้คุณมีความเชี่ยวชาญมากๆ ในการสร้างแบรนด์ แค่นั้นพอครับ เพราะแบรนด์เลียนแบบกันไม่ได้ ของใครของมัน มีการแสดงความเป็นเจ้าของชัดเจน แค่คุณเป็นเจ้าของแบรนด์ คุณสามารถสั่งให้ใครผลิตก็ได้ มีลูกค้ามาหาคุณเอง เพราะความต้องการในแบรนด์ครับ

4. เป็นนักลงทุน
การลงทุนนั้นถือว่าเป็นการสร้างรายได้อย่างหนึ่ง คือการนำเงินไปต่อเงิน เหมาะสำหรับทั้งผู้ที่มีเงินและกำลังจะมีเงิน แต่การลงทุนสมัยนี้ดีอย่างตรงที่สามารถเริ่มต้นจากเงินน้อยๆ ก็ได้ การลงทุนก็มีทั้งหุ้น อสังหา ทองคำ อนุพันธ์ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่าเราเชี่ยวชาญด้านไหน ที่ฮิตๆ กันก็มีพวกวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค และพวกนักลงทุนหุ้นคุณค่า (ถ้าท่านใดสนใจเรียนรู้ด้านการลงทุนหุ้นคุณค่า ที่ลงทุนง่ายและประหยัดเวลา สามารถติดต่อ Admin Yes Club ได้ครับ เรามีเปิดคอร์สอบรมเดือนละครั้ง)

5. เป็นผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ ที่ปรึกษา
การทำที่ปรึกษานั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถครับ สิ่งที่คุณต้องมีคือ ความรู้ ความชำนาญ ทักษะและประสบการณ์ ในสิ่งที่คุณกำลังจะให้คำปรึกษา หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมสมัยนี้อาจารย์เด็กๆ เยอะจัง จะมีความสามารถเพียงพอเหรอ เรื่องอายุอาจจะเกี่ยวแต่ไม่ทั้งหมดครับ ถ้ามีชายวัย 60 มาสอนคุณให้ทำการตลาดออนไลน์ กับเด็กหนุ่มหน้าใสดูเนิร์ดๆ แต่งตัวกะโปโล คุณจะเชื่อใครมากกว่ากัน ขอให้เอาความเชื่อออกให้หมดแล้วนึกถึง 4 อย่างที่คุณต้องมีแค่นี้พอครับ การเป็นที่ปรึกษายังเป็นการลงทุนความรู้ความสามารถและไม่ต้องใช้เงินเลย การเป็นที่ปรึกษานี้สามารถต่อยอดไปถึงการเขียนหนังสือ การจัดคอร์สอบรมสัมมนาได้ด้วยนะครับ

6. สร้างรายได้ด้วยการเป็นตัวแทนขายและนายหน้า
ไม่ว่าจะเป็นขายตรง MLM ประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ นายหน้าค้าที่ดิน ทุกอย่างทำเงินได้หมดครับ งานตัวแทนนี้เราไม่ต้องใช้ทุนอะไรเลย แถมยังได้เรียนรู้ทักษะการขายฟรีๆ อีกต่างหากครับ

7. การสร้างสินค้าเสมือนจริง
หลักๆ ของธุรกิจนี้คงหนีไม่พ้น Application ครับ ไม่ว่าจะเป็นบนมือถือ หรือคอมพิวเตอร์ ถ้าเรามีไอเดียที่ดี สามารถจ้างบริษัทรับจ้างเขียน App เหล่านี้ พร้อมทั้งหาทุนจากผู้ร่วมทุนมาร่วมได้อีกทาง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นธุรกิจตัวเบาครับ เพราะเราไม่ต้องลงทุนเป็นตัวเงินมากนัก แถมยังสามารถปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ได้เร็วกว่าการมีโรงงานผลิตเองด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะทำอาชีพไหนขอให้เราเลือกงานที่ถูกจริตกับเรา เมื่อเลือกแล้วก็ขยัน ตั้งใจทำและ รู้จริงเท่านั้นพอครับ

KAL
#YESClub

ทุกๆความสำเร็จ เริ่มต้นที่การลงมือทำ

“ทุกๆความสำเร็จ เริ่มต้นที่การลงมือทำ”

คำที่ว่า “97% ของคนที่รอให้พร้อมทุกอย่าง ไม่เคยลงมือทำ” เป็นประโยคที่ผมชอบมากๆ หลายๆครั้งที่จะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เรามักจะเกิดอาการลังเล ไม่แน่ใจ และ กลัวความเสี่ยงต่างๆที่จะเกิดขึ้น ผมก็มักจะนึกถึงคำๆนี้ และ เริ่มลงมือทำในทันที และ หลังจากนั้น สิ่งต่างๆก็จะไปในทิศทางที่ดีขึ้น เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และ ก็จะไปสู่ความสำเร็จในที่สุด

เมื่อวันก่อนผมได้อ่านบทความจาก Business Insider ที่ได้พูดถึง การเริ่มต้นของ Facebook ในปี 2004 ในช่วง แรกของการเริ่มต้นเปิดใช้ Facebook นั้น การใช้งานและข้อมูลของ facebook มีอยู่แค่เพียง 8 อย่าง และทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่พื้นฐานมากๆสำหรับวันนี้ สิ่งต่างๆในตอนเริ่มต้นที่ Mark Zuckerberg ทำในช่วงนั้นมีตามนี้ครับ

1. User accounts ที่ต้องใส่เฉพาะชื่อจริง และ ต้องลงทะเบียนด้วยอีเมล์จาก Harvard เท่านั้น (@harvard.edu)
2. รายชื่อเพื่อน และ คำร้องขอจากเพื่อน
3. การเชิญเพื่อน (Invitations) ที่ไม่สามารถดึงรายชื่อจากอีเมล์ ต้องใส่เมล์ไปทีละชื่อเท่านั้น
4. Profiles พร้อมกับรูปได้แค่เพียง 1 รูปเท่านั้น
5. ความสามารถในการเลือก User ผ่านการเลือกในหัวข้อต่างๆ เช่น เพศ, วันเกิด, เบอร์โทร, เพลงที่ชอบ, หนังสือที่ชอบ
6. การค้นหา ทำได้แค่เพียง ชื่อ, รุ่นที่เรียน, คณะหรือวิชาที่เรียน และ ข้อมูลตามข้อ5
7. การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ซึ่งทำได้แค่เพียง ให้เพื่อนเห็นเท่านั้น หรือ เฉพาะเพื่อนในรุ่นเดียวกัน (friends only, only people in my class year)
8. สามารถทำกราฟจำนวนเพื่อนที่มีได้ ซึ่งภายหลังมีการตัดออก


ในตอนนั้น ไม่มีในเรื่องของการส่ง Message ไม่มีหน้า Wall หรือ Newsfeeds หรือ อื่นๆอีกหลายๆอย่างที่มีในปัจจุบันนี้



หากเรานึกย้อนตาม Mark ไป ถ้าในวันนั้น เค้ารอให้พร้อมทุกๆอย่าง มี Program หรือ Function อื่นๆ ที่เจ๋งๆ ในวันนี้เราอาจจะไม่รู้จัก facebook ก็เป็นได้

ที่ Facebook ประสบความสำเร็จได้ เนื่องจากในวันนั้น เค้ามีความคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง และ เค้าลงมือทำมันเลย และ หลังจากนั้นก็ค่อยๆปรับเปลี่ยน แก้ไขไปเรื่อยๆ จน Facebook กลายเป็นบริษัททิ่ยิ่งใหญ่ระดับโลกในวันนี้

หากตอนนี้คุณกำลังมีความคิดอะไรดี หรือ อยากจะทำอะไรสักอย่าง ลงมือทำเลยครับ ไม่ต้องรอให้ทุกๆอย่างพร้อมมากกว่านี้หรอกครับ ถ้าไม่เริ่ม ยังไงคุณก็ไม่มีทางถึงจุดหมาย

หวังว่าเรื่องนี้จะช่วยทำให้คุณตัดสินใจทำอะไรสักอย่างได้ง่ายขึ้นนะครับ

ARA
‪#‎YESClub‬
หากต้องการอ่านบทความนี้จาก Business Insider ติดตามอ่านได้จาก Link ด้านล่างนี้ครับ
http://www.businessinsider.com/facebooks-first-8-features-from-2004-2014-8#ixzz3BUIGNLC9

ขุมทรัพย์ของบริษัทเทรดดิ้ง

ขุมทรัพย์ของบริษัทเทรดดิ้ง



ถ้าคุณเปิดบริษัทเทรดดิ้งหรือบริษัทตัวแทนจำหน่าย ที่ไม่ได้ผลิตสินค้าเอง คุณอาจจะเจอเหตุการณ์ที่ผมเคยเจอ คือ ไม่มีอำนาจต่อรองกับโรงงานผู้ผลิต หรือบางทีโรงงานผู้ผลิตก็ข้ามหัวเราไปติดต่อกับลูกค้าเลยโดยตรง ช่วงที่ผมเริ่มทำธุรกิจตัวกลางส่งออกก็เจอเหตุการณ์เดียวกันครับ ราคาเราสู้คู่แข่งไม่ได้ แถมบางทีคู่แข่งเรากลับเป็นโรงงานของเราซะเอง เรื่องแบบนี้เราไม่สามารถโทษโรงงานได้ครับ เพราะหากเรามีอะไรดีจริง โรงงานคงต้องพึ่งพาเราอยู่นั่นเอง สิ่งที่เราต้องทำให้ดีขึ้นในฐานะตัวกลางคือการมีสินทรัพย์เป็นของตัวเอง ขณะที่โรงงานมีเครื่องจักร สถานที่ กำลังคน ทุน บริษัทเทรดดิ้งอย่างเราต้องมีอะไรบ้าง ลองดูกันเลยครับ

1. ลูกค้าและบริการของเรา

สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ หาลูกค้าให้ได้ ให้มาซื้อสินค้ากับเราให้ได้ เมื่อมีลูกค้า อำนาจการต่อรองของเราก็มากขึ้นเอง เมื่อเรามีออเดอร์ให้โรงงานแล้ว เค้าจะไม่มองว่าเรามีลูกค้าแค่รายเดียว แต่เค้าจะมองลูกค้าอื่นๆ อีกร้อยรายที่อยู่ข้างหลังเรา และยิ่งพบว่ามีเรามีลูกค้าอยู่ในมือมากๆ เค้ายิ่งสนใจเรามากขึ้นครับ ผมมีลูกค้ารายหนึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ลูกค้ารายนี้รู้ว่าผมซื้อของจากโรงงานไหน แต่ก็ยังซื้อผ่านผม เพราะเห็นว่าผมน่าเชื่อใจมากกว่าโรงงานที่เค้าต้องการจะซื้อ ทั้งที่โรงงานออกจะใหญ่โตและซื้อกับผมได้ราคาแพงกว่า นั่นเป็นเพราะลูกค้าของเราเชื่อใจเรา ที่สำคัญกว่านั้นคือผมบริการเธอดีมากๆ ครับ มากซะจนนับถือกันเป็นญาติห่างๆ เลย

2. ระบบงานและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

ผมมีเพื่อนอยู่คนนึงเป็นลูกเจ้าของโรงงานผลิตเส้นบะหมี่ครับ กิจการของเธอใหญ่มากแค่ขายในประเทศก็ทำไม่ทันแล้ว ในขณะเดียวกันก็มีลูกค้าจากต่างประเทศสนใจจะให้เธอส่งออก สิ่งที่เธอทำได้ดีมากๆ คือ เธอไม่ยุ่งเรื่องส่งออกครับ เนื่องจากการส่งออกต้องใช้ความสามารถในการติดต่อลูกค้าต่างประเทศอยู่พอสมควร ฉะนั้นลูกค้าต่างประเทศที่ติดต่อเข้ามา เธอส่งให้เทรดเดอร์เจ้าประจำจัดการแทนทั้งหมด เทรดเดอร์ก็ชอบครับ เพราะได้ทำงานที่ตัวเองถนัดและรู้สึกโรงงานมีน้ำใจ พอมีลูกค้าก็มาสั่งกับโรงงานเธอ ก็เรียกว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ไม่ปวดหัว เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นผู้ส่งออก ให้หาโรงงานที่ไม่ชอบหรือยังไม่พร้อมส่งออก แล้วเน้นหาตลาดให้พวกเค้า รับรองวินวินทั้งคู่ครับ

3. ช่องทาง

ถ้าคุณรู้จักบริษัทการตลาดเช่น ล็อกซเล่ย์ หรือ ดีทแฮล์ม (DKSH ในปัจจุบัน) คุณจะเข้าใจว่ามีช่องว่างเหลือให้คนกลางมากเพียงใด บริษัทเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำตลาด พวกเค้าสามารถนำสินค้าคุณเข้าห้างหรือ Modern Trade ได้ กระจายสินค้าคุณไปสู่ตลาดทั่วประเทศได้ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ผลิตขนาดเล็กและกลางที่เก่งมากเรื่องผลิตการสร้างสินค้า แต่ยังไม่มีศักยภาพมากพอสำหรับการทำตลาดและกระจายสินค้า ถ้าคุณมีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง เช่น สามารถเป็นศูนย์กระจายสินค้าในท้องถิ่นนั้นๆ ได้ หรือมีช่องทางเข้าหาลูกค้าทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ ก็ถือว่าเป็น Asset ของเราได้ครับ

4. โลเคชั่น (ทั้งหน้าร้านและเว็บไซต์)

ถ้าจะขายสินค้ากิ๊ฟช็อปต้องไปขายที่สำเพ็ง เสื้อผ้าต้องไปโบ๊เบ๊ แพลตินั่ม อะไหล่รถยนต์ไปคลองถม หรือของแต่งบ้านก็ให้ไปขายที่จตุจักร อันนี้เป็นเรื่องสถานที่ที่ผู้ค้าขายต้องฟาดฟันกันเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ดีที่สุด จะได้มีลูกค้าเข้าร้านและขายของให้ได้มากที่สุด ยิ่งสมัยนี้ธุรกิจออนไลน์ดังมาก ก็มีการแย่งลูกค้ากันทางเว็บไซต์ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเปิดเว็บไซต์ ร้อยละ 90 จะเป็นคนกลางมาขายเองมากกว่าโรงงานขายเองครับ และร้านค้าออนไลน์เหล่านี้ก็แย่งลูกค้ากันอย่างดุเดือดครับ วิธีการก็คงหนีไม่พ้นไปทำโฆษณาเกาะกับเว็บ shopping mall ร้านดังๆ แต่ที่ดีที่สุดคือการมีหน้าร้าน เป็นของตัวเอง (เว็บไซต์ของตัวเอง) และการดึงคนให้เข้าร้าน คือการทำอันดับให้ติด google หรือที่เรียกว่า seo นั่นเองครับ หากหน้าร้านคุณติดอันดับใน google ลูกค้าจะมาหาคุณมากขึ้นเองครับ

5. แบรนด์สินค้า

สิ่งเดียวที่คุณสามารถมีได้แต่คู่แข่งหรือโรงงานเลียนแบบคุณไม่ได้คือแบรนด์สินค้าครับ ถ้าไม่แน่ใจว่าการมีแบรนด์ของตัวเองมันสำคัญมากเพียงใด ให้นึกถึงสินค้ายี่ห้อ Apple ผลิตโดยผู้ผลิตในจีน รองเท้าแบรนด์ระดับโลกทั้งจากยุโรปและอเมริกาก็เคยมาจ้างผลิตที่โรงงานบ้านเราทั้งนั้น เจ้าของแบรนด์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องผลิตเอง ขอให้ทำแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ลูกค้าไม่สนใจว่าผลิตที่ไหน ขอแค่ซื้อแบรนด์นี้ก็พอ

6. สัญญาผูกขาด หรือข้อตกลงพิเศษทางการค้า

การเป็นตัวกลางมีวิธีตัดคู่แข่งโดยการขอเจ้าของสินค้าว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว การทำธุรกิจลักษณะนี้เกิดขึ้นส่วนมากกับผู้นำเข้าที่นำแบรนด์ดังจากเมืองนอกมาทำตลาดในเมืองไทย สินทรัพย์ของบริษัทเหล่านั้นที่มีต่อลูกค้าคือการเป็นผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว ใครมาจำหน่ายถือว่าผิดกฏหมาย หรือแม้แต่ในประเทศเราเองก็มีเยอะครับ เจ้าของสินค้าหลายรายผลิตสินค้าเอง แต่ไม่ได้ทำตลาดเอง ยกให้ผู้จัดจำหน่ายเป็นคนทำตลาดให้ก็มีครับ

เหล่านี้คือวิธีหลักๆ ในการสร้างสินทรัพย์ให้บริษัทตัวแทนของคุณครับ คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง อาจจะอย่างเดียวหรือสองสามอย่าง ที่ทำให้ธุรกิจของคุณดูมีมูลค่าและเรียบง่าย ให้สมกับเป็นนักธุรกิจยุคใหม่ครับ

KAL
#YESClub

5 เทคนิคเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน

5 เทคนิคเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน



การเพิ่มยอดขายเป็นส่วนนึงของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ 5 เทคนิคนี้เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ทันทีสำหรับการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณอย่างยั่งยืนครับ

1. เพิ่มยอดขายจากลูกค้าปัจจุบัน

อันนี้เป็นอะไรที่ทำได้ง่ายที่สุด รวดเร็วที่สุด และทำได้ทันทีครับ เนื่องจากคุณมีลูกค้าอยู่ในมือแล้ว คุณเพียงแค่หาวิธีให้เค้าซื้อสินค้าคุณเพิ่มขึ้นให้ได้มากขึ้น หรือ มาซื้อบ่อยขึ้น ยอดขายคุณจะสามารถเพิ่มขึ้นได้เป็นเท่าตัว เลยทีเดียว เช่น หากคุณขายเสื้อผ้า ถ้าคุณสามารถทำให้ลูกค้าซื้อจาก 1 ชิ่้นเป็น 2 ชิ้น ยอดขายคุณก็เพิ่มเท่าตัวแล้วล่ะครับ, หากเป็นร้านอาหาร คุณอาจจะจัดแนะนำให้เค้าสั่งอาหารทานมากขึ้น มีขนม ของหวาน หรือ เป็น ร้านล้างรถ ปกติลูกค้าประจำอาจจะมาล้างเดือนละครั้ง ถ้าคุณทำให้เค้ามาล้างรถกับคุณเดือนละ 2 ครั้ง หรือ 2 เดือน มา 3 ครั้ง ยอดขายคุณก็ขึ้นได้เช่นกัน

ประเด็นในข้อนี้ อยู่ที่หลักแนวคิด ทำน้อยได้มากครับ (20:80) เน้นในลูกค้าปัจจุบันของคุณ ให้สินค้าและบริการที่ดีที่สุดกับเค้า ก่อนที่จะไปหาลูกค้าใหม่ครับ เพราะต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ สูงกว่า การทำให้ลูกค้าเก่าใช้บริการและซื้อสินค้ามากขึ้นอย่างแน่ นอน ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร หากจะต้องเพิ่มยอดขาย ให้ทำข้อนี้ก่อนครับ ก่อนที่จะไปทำข้ออื่นๆ หากคุณทำในข้อนี้ได้ ยอดขายของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนครับ

2. หาช่องทางในการขายใหม่

การหาช่องทางในการขายใหม่ๆ ก็เป็นอะไรที่จะเพิ่มยอดขายให้กับคุณได้ครับ ดีไม่ดี อาจจะมากกว่า การขายในปัจจุบันของคุณก็เป็นได้ การหาช่องทางการขายใหม่ๆนั้นขึ้นอยู่กับธุรกิจ ว่า เป็นธุรกิจอะไร เพราะช่องทางอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นหลักๆ ก็จะเป็นการขายผ่านหน้าร้าน, ขายผ่านตัวแทนต่างๆ อาจจะเป็นจังหวัดเป็นภาค, ขายผ่านทางออนไลน์ หรือ social network, การขาย Delivery หรือ อาจจะเป็นการสร้างช่องทางใหม่ๆขึ้นมาเองเลย เช่น หน่วยรถ, Kiosk, พนักงานขาย(ที่เดิมอาจจะไม่มี) บางรายที่ปัจจุบันคิดแต่ขายในประเทศ อาจจะมองในเรื่องของการ ส่งออก หรือ ขยายไปลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศก็เป็นความคิดที่ดีนะครับ

3. การหาลูกค้าใหม่

บางครั้ง เราอาจจะไม่สามารถแค่แค่ฐานลูกค้าเดิมแล้วจริงๆ เพราะเค้าก็ซื้อเท่าที่เค้าจะซื้อได้แล้ว ดังนั้นเราก็ต้องไปออกหาลูกค้าใหม่ครับ ในการออกหาลูกค้าใหม่ เราต้องกำหนด กลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน ต้องมี่การแบ่งกลุ่มให้ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการ และ ง่ายต่อการออกตามหาลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็อาจจะแบ่งเป็น ลูกค้าองค์กร กับ ลูกค้าทั่วไป แต่แค่นั้นอาจจะไม่พอครับ เราต้องระบุไปให้ชัดเลย ว่าเป็นองค์กรแบบไหน ทำธุรกิจอะไร อยู่ในพื้นที่เขตไหน จะได้ง่ายต่อทิศทางการทำงานของเราและทีม เช่น สมมุติถ้าผมต้องการจะไปหาลูกค้า โรงแรม ก็ต้องระบุไปว่า โรงแรมกี่ดาว เฉพาะในกรุงเทพ หรือ เมืองท่องเที่ยวด้วย หรือจะเอาทั้งประเทศ หรือ จะขายเฉพาะกลุ่มโรงแรมต่างชาติเป็น Inter อย่างเดียว..
ส่วนถ้าเป็นลูกค้าทั่วไป ก็ต้องเอาให้ชัดนะครับ เป็นลูกค้าแบบไหน เพศ อายุ อาชีพ เค้าอยู่แถวไหน แล้วเราจะเค้าไปเจอเค้าได้อย่างไร
การหาลูกค้าใหม่เป็นอะไรที่ต้องใช้เวลา และ ใช้การลงทุนค่อนข้างมาก แต่หลายต่อหลายครั้งมันก็คุ้มค่า ครับ ลูกค้าใหม่ที่ได้มา บางทีอาจจะได้มาเยอะมาก แต่ไม่มีคุณภาพ ถ้าจะให้ดี พยายามคัดเลือกก่อนนะครับ หาเป้าหมายที่คิดว่าน่าจะมีศักยภาพ เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลาครับ

4. ออกสินค้าใหม่ๆ
การออกสินค้าใหม่ก็ช่วยในเรื่องการเพิ่มยอดขายได้ครับ หรือไม่ก็หาสินค้าที่เดิมอาจจะไม่เกี่ยวกับธุรกิจเรา แต่กลุ่มลูกค้าที่เรามีอยู่เค้ามีต้องการใช้ เช่น ร้านเช่าชุดเจ้าสาว เดิมอาจจะมีแค่บริการชุดเจ้าสาว แต่ไปๆมาๆ ก็เริ่มมีเครื่องประดับให้เช่า มีรองเท้าให้เช่า แล้วต่อไปด้วยชุดเจ้าบ่าว และ บางทีมีชุดสำหรับ ญาติๆหรือเพื่อนเจ้าสาวอีกต่าง หาก หรือ พวกร้านอาหาร ร้านกาแฟ ต่างๆ เราก็จะเห็นว่า เริ่มจะมีการออกเมนู อื่นๆ ใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะบางธุรกิจ การที่คุณมีแต่สินค้าหรือบริการเดิมๆ ลูกค้าอาจจะเกิดอาการเบื่อได้ครับ คุณเลยต้องมีอะไรใหม่ๆ มากระตุ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในบางครั้ง พวกสินค้าใหม่ๆ อาจจะไม่ได้ทำยอดอะไรมากมาย แต่มันช่วยให้ลูกค้ายังกลับมาใช้บริการกับเรา ไม่หนีหายไปหาคู่แข่งรายอื่นๆ
ในการออกสินค้าใหม่ๆ บางครั้ง คุณอาจจะเจอกับสินค้าใหม่ ที่ยอดขายมาแรง และ กลายเป็นสินค้าที่ทำรายได้หลักให้กับคุณเลยก็เป็นได้ครับ เช่น ชาเขียวของโออิชิ หรือ ฟูจิ ที่เริ่มจากการทำเพื่อขายในร้านอาหาร แต่สุดท้าย ยอดขายของชาเขียวอย่างเดียวก็สูง จนกลายเป็นอีกธุรกิจหลักไปแล้วในตอนนี้


5. การทำ Promotion
การทำ โปรโมชั่น หรือ แคมเปญต่างๆ ก็สามารถที่จะสร้างสีสัน และ ช่วยในการเพิ่มยอดขายให้กับคุณได้ แต่ในการทำตรงนี้ ต้องคิดให้ดี วางแผนให้รอบคอบและทำให้เป็นนะครับ เพราะถ้าทำไม่เป็น มันจะกลายเป็นเพียงแค่เพิ่มยอดขายได้ในระยะสั้นๆ แค่เพียงชั่วคราว แต่ไม่ช่วยให้เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน

การทำให้เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่จะเน้นในการทำ โปรโมชั่น เพื่อดึงให้ลูกค้าเข้ามาที่ร้าน เพื่อทดลองใช้ หรือ ซื้อ และ หลังจากนั้นจะทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าชนิดอื่นๆ ไปด้วย และ เมื่อลูกค้าได้ทดลองใช้ และ ชอบก็จะมีการกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น Uniqlo จะมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาตลอดเวลา ทุกอาทิตย์ แต่สินค้าจะสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ทำให้ลูกค้าต้องคอยติดตามว่าอะไรลดไม่ลด และ ต้องแวะเข้ามาเมื่อสินค้าที่ตัวเองต้องการนั้นลดราคา แต่พอมาแล้ว ส่วนใหญ่ มักจะไม่ได้แค่เสื้อผ้าชิ้นเดียว กลับไป มักจะมีติดไม้ติดมือไปอีก 2-3 ตัวหรือมากกว่านั้น สุดท้าย พอได้ไปลองใส่ก็ชอบ และ ติดใจ และ กลับมาอีก (แต่ในกรณีนี้ต้องมั่นใจนะครับว่าสินค้าคุณดีจริงๆ)
หรือ อีกตัวอย่าง เช่น ร้านอาหารหรือเครื่องดื่มเวลาเปิดใหม่ๆ มักจะมีส่วนลด หรือ แจกฟรี เพื่อเป็นการเรียกลูกค้าเข้ามาทดลองในร้าน เพื่อให้รู้จัก สร้างความสนิทสนม และ ได้ทดลองชิมสินค้า เพื่อในอนาคตจะกลับมาใหม่ หรือ การทำส่วนลดหรือโปรโมชั่นเฉพาะวัน เช่น ลดเฉพาะวันพุธ ลดเฉพาะอังคารตอนเย็น การทำโปรโมชั่นแบบนี้ก็ทำให้ลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆและเพิ่มยอดขายให้กับคุณในวันที่ไม่ค่อยมีลูกค้าได้เช่นเดียวกันครับ

ขอให้ยอดขายทุกๆคน ทะลุเป้าตามที่หวังไว้นะครั

ARA
#YESCLub

Credit รูปภาพจาก: www.artpromotivate.com

ความสำเร็จ ไม่ขึ้นอยู่กับอายุอีกต่อไป ! !



หากคุณเห็นรูปของบทความนี้แล้ว คุณคงจะคิดว่า ไอ้ตี๋คนนี้ เด็กที่ดูทะเล้นๆ เกรียนๆคนนี้มันเป็นใคร แต่ท่าทาง คงจะเป็นคนกวนๆไม่ใช่น้อย

เด็กคนนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่เด็กละครับ เป็นคนหนุ่ม อายุ 23 ปี เค้าเป็นคนเชื้อชาติ ฮ่องกง แต่ โตที่ แคนาดา เค้าชื่อว่า "Brian Wong" (ไบรอั้น หว่อง)

Brian Wong เป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่งครับ เรียนจบปริญญาตรี ตั้งแต่อายุ 18 หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าทำงานที่บริษัททำ Application ของระบบ Android ทำได้ 5 เดือน เค้าก็ตกงานครับ

วันหนึ่งขณะที่เค้าเดินทางบนเครื่องบิน เค้าสังเกตุเห็นว่า คนส่วนใหญ่นั่งเล่นเกมมือถือ กันแทบทั้งนั้น แล้วเค้าก็คิดว่า ทำไมคนถึงติดเกมกันจัง ซึ่งเค้าก็คิดว่าคงเป็นเพราะความสนุกในการที่ได้เล่นผ่านด่านไปเรื่อยๆ ได้คะแนนสูงขึ้น และ ได้ Item อะไรใหม่ๆในเกม

ส่วนสิ่งที่น่ารำคาญคือ พวกเกมฟรีที่มีโฆษณามาคั่นกลางระหว่างการเล่นเกม และ ยังเป็นอะไรที่ไม่ได้สร้างคุณค่าให้กับ ผู้เล่นเกมเลย ตรงกันข้ามกลับทำให้ไม่ชอบหรือเบื่อด้วยซ้ำ เค้าก็เลยเกิดไอเดียที่ว่า หากพวกโฆษณาเหล่านั้น เปลี่ยนมาเป็นการให้อะไรที่ดีกับ ผู้เล่นเกมได้ก็คงดี

เค้าก็เลยเกิดไอเดียที่ว่า ถ้าเกิดมีโฆษณาต่างๆมาตอนที่ผู้เล่นเกม เล่นเกมผ่านด่าน หรือ ได้คะแนนในเลเวลสูง แล้วแบรนด์โฆษณานั้นๆ มอบของอะไรสักอย่างเป็นรางวัลให้กับผู้เล่นเกม แทนที่จะโฆษณาเฉยๆก็คงจะดี หลังจากคิดได้เค้าก็ติดต่อกับเพื่อนของเค้า และ ร่วมกัน สร้าง Application ขึ้นมาและตั้งชื่อว่า "Kiip" (คีพ) และ นำไปเสนอขายให้กับ Ad Agency

ผลที่ได้คือ มีแบรนด์ต่างๆสนใจ มาร่วมกับเค้ามากมาย ยกตัวอย่างเช่น พอเราเล่นเกมผ่านด่าน ก็จะมีข้อความขึ้นมาว่าเราได้รับรางวัลเป็น ขนมจากแบรนด์ๆนี้ เราก็ลงทะเบียนไปแล้วเดี๋ยวขนมก็ส่งมาให้เรา กลายเป็นว่า คนเล่นเกมก็ชอบ แบรนด์ก็ชอบที่เข้าถึงลูกค้าได้จริงๆ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีแบรนด์ต่างๆติดต่อมามากมาย จากแค่เกม ก็ข้ามไปสู่ พวก Application ออกกำลังกาย, ทำอาหาร, ดนตรี เช่น หากคุณออกกำลังกายได้ตามเป้าหมายที่คุณวางไว้ ก็จะมีของรางวัลจากผู้สนับสนุน เช่น แลกฟรีเครื่องดื่ม Gatorade

Kiip มีแบรนด์ต่างๆติดต่อเข้ามากว่า 1,000 แบรนด์ และ แบรนด์ต่างๆก็จะจ่ายเงินเฉพาะตอนที่มีลูกค้าส่งอีเมล์มาสมัครเพื่อขอรับของ รางวัล โดย Kiip จะได้เงินจากการแลกของรางวัลครั้งละ $0.3 - $3 US dollar. ซึ่งปัจจุบันก็มีคนมาแลกของรางวัลเกินไปกว่า 25 ล้านครั้งแล้ว รายได้ต่อปีก็ประมาณ 10-20 ล้านเหรียญ และ ทุกวันนี้ มีคนใช้ Application ของ Kiip ประมาณ วันละ 10 ล้านคน..

เด็กหนุ่มคนนี้เริ่มธุรกิจตนเองตั้งแต่อายุ 19 ปี ปัจจุบันอายุ 23 ปี เป็นคนที่ติดอันดับ Young Entrepreneur ตั้งแต่ปี 2011 ของ Forbes, Entrepreneur, New York Times, Walls Street Journal และ ยังได้รับรางวัลในด้านการสร้างสื่อโฆษณาใหม่ๆ

เด็กวัยรุ่น ก็จะมีมุมมองของเด็กวัยรุ่น ที่บางครั้งผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มากๆก็อาจจะมองไม่เห็น อาจจะเป็นเพราะเค้าเป็นคนชอบเล่นเกม เค้าเลยมองเห็นโอกาสตรงนั้น

ข้อคิดดีๆที่ได้จาก หนุ่มคนนี้ก็คือ
1. เค้าสามารถคิดและมองเห็นโอกาส และ ไอเดียในการสร้างโอกาสธุรกิจจากสิ่งใกล้ๆตัว

2. พอคิดแล้ว เค้าลงมือทำ ทันที โดยที่ไม่ต้องรอ ว่าจะต้อง มีเงินทุน หรือ มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้มากเสียก่อน

เมื่อวันก่อนเราได้ลงเรื่องของ คาร์ลอส สลิม ที่เค้าใช้เวลาพอสมควรกว่าจะสร้างตัวขึ้นมาได้ แต่พอมาวันนี้เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จได้เพียงข้ามคืน หลังจากนี้ต่อไป คงเป็นยุคที่คนรุ่นใหม่จะเริ่มก้าวเข้ามาสร้างความท้าทายในธุรกิจมากขึ้น ทุกๆวัน แน่นอนครับ และที่สำคัญในยุคนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอครับ....

ARA
#YESCLUB #Entrepreneur #Youngentrepreneur

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"Love Wedding Marriage แกะรอย ธุรกิจหมื่นล้าน"


“Will You Marry Me ?” คำขอคนที่คุณรักแต่งงาน ประโยคๆนี้ ทำให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจขึ้นอย่างมากมายในทุกๆประเทศ เมื่อคนสองคนตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน จึงต้องมีการจัดงานเพื่อที่จะบอกให้คนอื่นๆรอบๆตัว รับรู้ว่าเราเป็นคู่ชีวิตกันแล้ว

ในประเทศไทยปีๆนึง มีคู่ที่ไปจดทะเบียนสมรสประมาณ 3 แสนคู่ในทุกๆปี ลองคิดกันดูเล่นๆนะครับ ใน 3 แสนคู่ผมว่าอย่างน้อย 50%-60% น่าจะต้องมีการจัดงานแต่งงาน และ ยังมีคู่แต่งงานที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสอีกมากมายที่มีการจัดงานแต่งงาน

หากผมลองประเมินคร่าวๆ ถ้าหนึ่งคู่สมรสใช้เงินในการจัดงานแต่งสัก 100,000 บาท หากมีการจัดงานแต่ง 150,000 คู่ต่อปี มูลค่าของธุรกิจงานแต่งงานก็สูงถึง 15,000 ล้านบาทแล้วล่ะครับ แต่ผมคิดว่าจริงๆน่าจะสูงกว่านี้อีกมาก

ว่าถึง ธุรกิจงานแต่งงาน ก็จะมีธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องอยู่มากมาย โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลักๆก็จะมีดังนี้ครับ

1. ธุรกิจโรงแรม หรือ สถานที่ ให้เช่าจัดงานแต่งงาน
เม็ดเงินที่อยู่ในกลุ่มนี้น่าจะเป็นอะไรที่เยอะที่สุดครับ เพราะค่าใช้สถานที่ของโรงแรมนั้น มีตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้าน

2. ธุรกิจชุดแต่งงาน
มีให้เห็นกันเยอะมากครับ มีทั้งเช่า ทั้งตัด และมีเจ้าใหญ่ๆหลายเจ้าที่ทำธุรกิจกันจนร่ำรวยเป็นหลักสิบหรือร้อยล้าน เช่าชุดธรรมดาครั้งนี้เดี๋ยวนี้ก็เป็นหมื่นๆแล้วครับ ส่วนถ้าสั่งตัดก็มีกันไปถึงหลักหลายแสนบาท

3. ธุรกิจช่างภาพ
มีทั้งการถ่ายภาพนิ่ง และการถ่าย VDO เป็นลักษณะ Cinema ซึ่งสำหรับคนไทยที่จะมีการจัดงานแต่งงานสมัยนี้ต้องมีการถ่ายรูป Prewedding ทำ Presentationงานแต่ง และ ไหนจะการถ่ายรูปในวันงานอีก รวมๆแล้วก็ต้องใช้เงินกันเป็นหมื่นๆบาท และ ถ้าหากอยากจะใช้เจ้าดังๆก็คงต้องเตรียมเงินกันไว้เป็นหลักแสนบาท

4. ธุรกิจ Card และ ของชำร่วย
แค่ดูจากจำนวนคนแต่งงานต่อปี ผมว่าคนทำ Card และขายของชำร่วย แค่จับเฉพาะกลุ่มงานแต่งงานได้ ก็สบายแล้วล่ะ เพราะงานๆนึงก็ต้องสั่งพิมพ์ Card หรือ ซื้อของชำร่วยกันอย่างน้อยก็ 2-3 ร้อยชิ้น บางงานอาจจะสูงถึง 2-3 พันชิ้น หากเป็นงานใหญ่

5. ธุรกิจชุดงานเลี้ยง
นอกจากชุดแต่งงานของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว อย่าลืมชุดของเจ้าภาพ ญาติๆ และ แขกครับ ที่ต้องหาชุดไปงานกันอีก โดยเฉพาะสาวๆที่มักจะไม่ใส่ชุดซ้ำๆ และ สมัยนี้การตัดชุดให้เป็น Theme เดียวกันสีเดียวกัน ก็ทำให้เกิดการตัด หรือ การให้เช่า ธุรกิจงานเลี้ยงเข้ามาอีก

6. ธุรกิจทีเกี่ยวกับการจัดงาน เช่น ดอกไม้, ดนตรี และ การตกแต่งอื่น
ในงานแต่งงานคงขาดการตกแต่งจาก ดอกไม้ในงานแต่งงานไม่ได้นะครับ ที่เราเห็นการจัดดอกไม้ตามงานแต่งต่างๆ หากไม่มากนักก็อาจจะเป็นหลักหมื่นต้นๆ บางคนชอบดอกไม้มาก ลงทุนตกแต่งเป็นล้านๆเลยก็มีครับ ส่วนดนตรี สมัยนี้ก็นิยมที่จะจ้างเป็นวงดนตรี ไปเล่นสด มีทั้งวงแบบเครื่องสาย, acoustic หรือ Full band แล้วแต่ความชอบของคู่บ่าวสาว

7. ธุรกิจอาหาร ซุ้มอาหาร Catering
การจัดงานในสมัยก่อนนิยมเป็นการจัดโต๊ะจีน หรือ ใช้อาหารของโรงแรม แต่สมัยนี้ ความนิยมเปลี่ยน เริ่มมีการจัดแบบ บุฟเฟต์, ค๊อกเทล จึงเริ่มมีการนำซุ้มอาหารต่างๆเข้ามาในงาน ที่เป็นยอดนิยมก็จะเป็นพวก อาหารญี่ปุ่น, ข้าวมันไก่, ข้าวหมูแดง, บะหมี่เกี๊ยว, กระเพาะปลา หรือ ร้านอาหารชื่อดังๆในพื้นที่ต่างๆ ก็จะเริ่มเข้ามาในตลาดส่วนนี้ ซึ่งถือว่าทำงานได้ดีทีเดียว และเป็นรายได้เสริมให้กับร้านอาหารหลายๆร้าน บางร้าน รายได้อาจจะสูงกว่าขายธรรมดาที่หน้าร้านด้วยซ้ำไป

8. ธุรกิจเครื่องประดับ, ช่างแต่งหน้าทำผม และ ของไหว้ต่างๆ
สองธุรกิจนี้เป็นสิ่งสำคัญเลยครับ ไม่มีไม่ได้ หากขาดไปงานแต่งงานไม่สมบูรณ์แน่ เริ่มตั้งแต่ แหวน เครื่องประดับ เครื่องเพชร หรือ พวกของไหว้ ของใช้ในพิธีต่างๆทั้ง แบบไทย จีน หรือ คริสต์
ส่วนเรื่องแต่งหน้าทำผมของเจ้าสาว และ ญาติๆ สำคัญมากๆครับสำหรับพวกเธอ ช่างแต่งหน้าบางท่านต้องจองกันข้ามปีเลยทีเดียว และ ค่าใช้จ่ายก็อยู่ที่ 5 พัน จนถึงหลัก 2-3 หมื่น ครับ

9. ธุรกิจ Wedding Planner หรือ Organizer
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่า หากใครจะแต่งงานทั้งทีจะต้องติดต่อกับคนที่บอกมาเกือบทั้งหมด ซี่งจะถือว่าเยอะมาก ก็เลยเป็นที่มา ที่จะมีผู้ที่ให้บริการในการช่วยเตรียมงาน และ จัดงานแต่งงานให้ เพราะในชีวิตคนเรา คงจะแต่งงานกันแค่เพียงครั้งเดียว คู่แต่งงานทุกคนก็เป็นมือใหม่ เลยต้องการคนที่จะมาช่วยในการเตรียมงานและจัดงานต่างๆให้ บ้างก็ทำกันเป็นธุรกิจครบวงจร จนเป็น Wedding Studio ให้เสร็จสรรพ

จริงๆยังมีธุรกิจอื่นๆอีกนะครับ เช่น รับพิมพ์รูปหน้างานจาก Instagram หรือ จอ LED ไว้เขียนคำอวยพร ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะหาโอกาสในการสอดแทรกเข้าไปได้แค่ไหน

หากใครที่ทำธุรกิจอยู่ในวงการนี้ หรือ อยากจะเข้ามาทำและประสบความสำเร็จในวงการนี้ หลักสำคัญที่คุณควรจะต้องมีเพื่อความสำเร็จคือ

1. Professional: ความเป็นมืออาชีพในบริการที่คุณทำ เพราะคู่แต่งงานต้องการความเชื่อมั่นจากมืออาชีพเท่านั้น งานแต่งงานมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต หากผิดพลาดไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ครับ
2. Partner & Connection: คุณควรจะคู่ค้า และ มีเส้นสายที่รู้จักคนให้กว้างในหลายๆวงการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจงานแต่งงาน เพราะคุณอาจจะได้งานก็จากเส้นสายคนที่คุณรู้จักนี่แหล่ะครับ
3. Service Minded: “Happiness” ความสุขเป็นหลักสำคัญที่สุดในการแต่งงานที่คู่บ่าวสาวอยากจะได้รับ จากการบริการต่างๆของคุณ คุณต้องมีการบริการที่ดีมากๆ และทำทุกๆอย่างที่จะสร้างความสุขให้กับ ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกค้าคุณ หากคุณทำได้ดี เดี๋ยวเค้าก็จะแนะนำเพื่อนๆมาเป็นลูกค้าใหม่ให้กับคุณอย่างแน่นอนครับ
4. Understanding: คุณต้องเข้าใจในคู่บ่าวสาว ของคุณให้มาก เพราะคนแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน และงานแต่งงาน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความชอบส่วนตัว ไม่มีถูกไม่มีผิด ใครที่เข้าใจลูกค้าอย่างถ่องแท้ ก็จะนำเสนอสิ่งที่เค้าชอบได้อย่างดีที่สุด
5. Creativity: สุดท้ายครับ ความคิดสร้างสรรค์ คู่บ่าวสาวทุกคนอยากให้งานของตนเป็นในแบบของพวกเค้าเองที่ไม่เหมือนใคร การคิดและสร้างสรรค์ในสิ่งใหม่ๆจะทำให้งานแต่งงาน เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของชีวิตคู่บ่าวสาวครับ

ARA
#YESClub #Wedding

ตามรอยบุคคลผู้โด่งดังของโลก: คาร์ลอส สลิม (Carlos Slim)



เค้าคือใคร

ถ้าถามถึงคาร์ลอส สลิมแล้วอาจจะเป็นคนที่มีคนรู้จักน้อยมากหลายๆคนอาจจะรู้จัก หลายๆคนอาจจะคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน นั่นคงไม่แปลกเพราะจริงๆแล้วคาร์ลอส สลิมนั้นมีชื่อขึ้นตามเว็บไซต์ต่างๆหรือในหนังสือพิมพ์น้อยมาก ถ้าเทียบกับบุคคลดังๆในแวดวงธุรกิจแล้ว คาร์ลอส สลิมจะเป็นที่รู้จักน้อยกว่าเยอะมาก

แต่รู้มั้ยครับว่าเค้าคือบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก (ปี2014 Bill Gates พึ่งแซง ขึ้นมาและแซงขึ้นลงระหว่าง Bill Gate ตั้งแต่ต้นปี 2014) และคาร์ลอส สลิมนั้นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2010 – 2013 ครับ ด้วยทรัพย์สินปัจจุบันมากกว่า 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่า Warren Buffet นักลงทุนระดับโลกที่มีมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 66,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ประวัติล่ะ

คาร์ลอส สลิมเกิดที่ประเทศเม็กซิโก โดยที่พ่อแม่ย้ายมาจากเลบานอนมาตั้งถิ่นฐานที่เม็กซิโกตั้งแต่อายุน้อยๆ และทำให้คาร์ลอส สลิมนั้นเป็นคนเม็กซิโกตั้งแต่กำเนิด

คาร์ลอส สลิมไม่ได้โตมาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยอะไร เค้าเกิดมาเหมือนคนทั่วๆไป ครอบครัวไม่ได้มีมรดกอะไรมาให้ทั้งนั้น แต่คาร์ลอสนั้นมีครอบครัวที่สอนให้รู้เกี่ยวกับการค้าขายแต่เด็ก ซึ่งคุณพ่อของคาร์ลอส สลิมนั้นมีส่วนมากๆในความสำเร็จของคาร์ลอส สลิมนั้นเนื่องจากปลูกฝันและสอนให้ตั้งใจเรียน ให้เรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยดีๆตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้ยังสอนให้คาร์ลอสได้รู้จักการลงทุนตั้งแต่เด็กด้วย

จุดเริ่มต้นความสำเร็จ

คาร์ลอสเองเริ่มฉายวายตั้งแต่เด็กโดยที่เริ่มซื้อหุ้นตั้งแต่อายุ 12 ซึ่งตอนนั้นได้ซื้อหุ้นของ Mexican bank และเมื่ออายุ 17ปี ได้ค่าแรงเป็นเงิน 200เปโซต่ออาทิตย์จากการไปช่วยทำงานให้กับพ่อของเค้าเอง (ประมาณ 400 บาทของไทยขณะนี้) และเมื่อเรียนจบก็เริ่มทำงานโดยการเป็นเทรดเดอร์หุ้น และมาเปิดบริษัทโบรคเกอร์เองเวลาต่อมา

และจุดเริ่มต้นของความสำเร็จนั้นอยู่ที่ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 เป็นจังหวะที่ คาร์ลอส สลิม เห็นโอกาสที่ดีเนื่องจากการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ mexico ทำให้ราคาหุ้นของธุรกิจดีๆหลายตัวมีราคาที่ต่ำมากๆ ทำให้เค้าสามารถเข้าซื้อกิจการที่ดีๆในราคาที่ต่ำสุดๆได้ในเวลานั้นและเริ่ม ต้นความสำเร็จอย่างที่สุดในทศวรรษที่ 90 หลังจากเค้าซื้อกิจการสื่อสารโทรมนาคมหลายอย่างใน mexico และกลายเป็นเจ้าพ่อการสื่อสารแบบเบ็ดเสร็จใน mexico ทำให้ปัจจุบันนี้คาร์ลอส สลิมเป็นเจ้าพ่อสื่อสารรายใหญ่ของทวีปอเมริกาและยังเป็นเจ้าพ่ออสังหาราย ใหญ่ในเม็กซิโกอีกด้วย

คาร์ลอส สลิมนั้นมองเห็นแนวโน้มธุรกิจและอนาคตของธุรกิจการสื่อสารและโทรคมนาคมว่าจะ ต้องเป็นธุรกิจสำคัญของโลก ดังนั้นเค้าจึงมองธุริจการสื่อสารไว้นานมากและเมื่อโอกาสมาถึงเค้าก็กว้าน ซื้อธุรกิจสื่อสารไว้เกือบทั้งหมดและทำให้เค้ากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด นี้

สุดท้ายแล้ว

มาถึงตรงนี้แล้วผมอยากจะบอกว่าการจะเป็นคนประสบความสำเร็จได้ ไม่จำเป็นต้องมีมรดก มีพื้นฐานการเงินที่ดีมากๆจากครอบครัวจากพ่อแม่ เราสามารถสร้างมันได้ทันทีด้วยมือของเราเอง พยายามเรียนรู้ เพิ่มความพยายาม ปรับปรุงส่วนที่เราไม่รู้เยอะๆและที่เหลืออยู่กับคุณครับว่าจะเลือกทำอย่าง ไรกับชีวิตตัวเอง เพียงแค่หาโอกาสที่ดีให้เจอและคว้ามันให้ได้ครับ

Mr.N

#yesclub #Carlos #richest #telecommunication

หลุมพรางของการเริ่มทำธุรกิจ



สำหรับผู้ที่เป็นพนักงานไม่ว่าจะกินเงินเดือนประจำหรือเป็นรายวัน ความฝันหนึ่งของพนักงานคือการออกมาทำอะไรเอง เป็นของตัวเอง เป็นเจ้านายตัวเอง มันคือแดนมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ณ วันที่ผมยังทำงานประจำอยู่ ผมมักจะคุยกับคนรอบๆ ข้างเกี่ยวกับเรื่องนี้เสมอ การได้เดินตามทางที่ฝัน ได้ทำสิ่งที่ทำเป็นเรื่องที่ท้าทายและสนุกเสมอ (อย่างน้อยก็สำหรับผม 55) แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป (และส่วนใหญ่จะเจอหนามกุหลาบมากกว่ากลีบกุหลาบ) แต่เส้นทางที่จไปถึงปลายทางนั้น มีหลุมพรางเยอะมาก หลุมพรางที่ให้เราเฉออกนอกเส้นทาง ทำให้ตกหลุมไป หรือแม้แต่ล้มเลิกเดินกลับทางเดิม

ใจ เสียงรบกวนจากคนอื่น

อย่าไปทำเลย ธุรกิจแบบนี้ ทำไปก็เจ๊งเปล่าๆ เสียเวลาน่ะ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ย ดูคนนู้นคนนี้สิ เค้าทำงานเติบโตไปถึงไหนแล้วนี่มาทำอะไรแบบนี้เสียอนาคต อย่าไปทนอีกเลย พอเหอะ กลับไปทำงานประจำดีกว่า เสียงเหล่านี้ทำให้ใจเราหวั่นไหวมากๆ เดิมทีที่เริ่มธุรกิจมาก็มั่นใจ เวลาผ่านไปไม่เป็นไปอย่างที่คิด เสียงเหล่านี้ยิ่งดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าให้มันดังกลบเสียงของเราเองนะครับ เคยมีคนบอกผมอย่างนึง ล้มเหลวไม่มีหรอก มีแต่ล้มเลิก ทุกวันนี้คำนั้นยังวนอยู่ในหัวผมตลอด ถึงแม้ระหว่างทางจะมีเสียงดังแบบนั้นวนเข้ามาในหัวบ้าง ใจของเราสำคัญที่สุด เมื่อไรที่คิดจะหยุด ลองมองกลับไปที่จุดเริ่มต้นนะครับ ทำไมเราถึงเลือกทางนี้ เดินทางมาไกลขนาดนี้

แผนงานและแผนสำรอง

แผนงานสำคัญมากๆ และแผนสำรองยิ่งมีความสำคัญ ตอนเราเริ่มวางแผนใหม่ๆ อาจจะมีความมั่นใจมากๆผสมเข้าไปว่าจะต้องไปได้ดีจริงๆจนไม่เหลือที่ให้ สำหรับแผนสำรอง ทุบหม้อข้าวเป็นการแสร้งแรงจูงใจที่ดี แต่ในความจริงแล้วแผนสำรองจำเป็นมาก เพราะว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราคิดไว้มักไม่เป็นไปตามนั้น เราจะเจอความท้าทายตลอดทางและแผนต้องเปลี่ยนตลอด จนบางทีแผนสำรองที่เตรียมไว้เยอะมาก ก็ยังไม่พอรับมือกับเหตุการ์ณต่างๆ สำหรับธุรกิจแล้วไม่มีอะไรแน่นอน ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน จงเตรียมตัวรับมือเตรียมแผนสำรองไว้เยอะๆครับ และอีกอย่างนึงที่สำคัญคือแนวทางการทำธุรกิจ ต้องชัดเจนนะครับ อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จากอุดมการณ์ตอนเริ่มพอธุรกิจไม่เป็นไปอย่างเราหวัง เราก็จะเริ่มเปลี่ยนตัวเองไปทำอย่างอื่น เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนสุดท้ายเราจะงงกับแนวทางและจะท้อเองไปในที่สุดครับ

เงินทุน

การหมุนเงิน การไม่ได้วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ มีส่วนอย่างมากทำให้ใจเราเสียทรงไปได้ พอคิดว่ารายได้จะเข้ามาภายในเท่านั้นเท่านี้เดือน แต่พอถึงเวลาจริงๆ เงินทุนเริ่มร่อยหรอ การลงทุนเริ่มน้อยลง ความมั่นใจเริ่มหายไป เงินที่เตรียมไว้เริ่มไม่พอ เริ่มหยิบยืนคนใกล้ตัว ทำเรื่องกู้ธนาคาร และหากยังไม่ไหว สุดท้ายเราก็จะล้มเลิกไป และกลับไปทำงานประจำในที่สุด

การจดทะเบียนบริษัท

สำหรับหลายๆคนที่เปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้ประกอบการ จะเริ่มด้วยการจดทะเบียนบริษัทก่อนเลย ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะครับในการจดทะเบียนบริษัท จริงๆต้องบอกว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ แต่การจดทะเบียนนั้นอาจยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่สุดในการเริ่มธุรกิจ ด้วยความยุ่งยากในการจดทะเบียน การคัดหาชื่อที่เหมาะสม รายได้ที่ยังไม่แน่นอน เอกสารต่างๆ เงินจดทะเบียน ผมเคยครั้งนึงจะไปจดทะเบียนบริษัท ทางเจ้าหน้าเองก็ถามผมตรงๆเลยว่ามีลูกค้าแล้วหรอ ถ้ายังไม่มีลองทำดูก่อนก็ได้ เพราะเวลาจดเลิกลำบากนะ แถมเสียเงินเสียค่าใช้จ่ายเยอะด้วย เยอะกว่าตอนจดทะเบียนเริ่มด้วยซ้ำ ซึ่งผมก็ว่าจริงนะครับ เพราะหลังจากที่เราจดทะเบียนบริษัทแล้วไม่ว่าจะในรูปแบบใด เราจำเป็นต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย และยื่นทำเรื่องเสียภาษีประจำปี ถึงแม้จะไม่มีรายได้ซักบาท สำหรับข้อนี้หลายคนอาจจะเห็นต่าง แต่สำหรับผมถ้าเกิดยังไม่ได้ติดต่อค้าขายกับบริษัทใหญ่ที่จำเป็นต้องเดิน ธุรกิจในรูปแบบบริษัทด้วยกันเท่านั้น ผมยังอยากให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นเรื่องสำคัญรองๆ เพราะวันนึงที่มีลูกค้าพร้อม รายได้ที่มั่นคง การจดทะเบียนจะไม่ใช่เรื่องลำบากเลยครับ

ออฟฟิต/ อุปกรณ์ / พนักงาน

จากคนที่เคยทำงานในออฟฟิต เมื่อออกมาแล้วความคุ้นเคยกับการมีออฟฟิตยังอยู่ อุปกรณ์สำนักงานต่างๆด้วย จำเป็นต้องมีหมด โทรศัพท์ แฟกซ์ เครื่องสำเนาเอกสาร คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต อุปกรณ์เครื่องเขียน สมุด กระดาษ โต้ะทำงาน หรือแม้แต่พนักงานที่จะมาช่วยงานทุกอย่างถูกวาดไว้อย่างสวยงาม แต่ความเป็นจริงแล้ว พวกนี้คือต้นทุนที่สูงมาก สำหรับคนที่พึ่งเริ่ม บางอย่างอาจจำเป็น บางอย่างอาจยังไม่จำเป็น หากคุณโซโลเดี่ยวในตอนแรก ออฟฟิตอาจจะยังไม่จำเป็น (ยกเว้นว่าธุรกิจนั้นจำเป็นต้องมีออฟฟิตเพื่อต้อนรับลูกค้า) แต่คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือ ปริ้นเตอร์ อาจจะมีความสำคัญมากกว่า สำหรับผมแล้วผมเลือกที่จะเสียเงินกับส่วนนี้ให้พอเหมาะที่สุด อะไรยังไม่ใช้ก็จะยังไม่ซื้อเพิ่ม นอกจากค่า overhead ที่ต้องลงทุนเยอะมาก หากคุณต้องทำออฟฟิตด้วย แน่นอนค่าเช่าและค่าตบแต่งจะกินเงินส่วนนี้ไปเยอะพอสมควร แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องใช้นะครับ ยิ่งหากมีการจ้างพนักงานมาด้วยแล้ว จะให้มาทำงานที่บ้านเราหรือที่ที่ไม่เหมาะสมกับการทำงานคงไม่ได้ (ใจเค้าใจเรา เราก็อยากทำงานในออฟฟิตที่ดูดี สะดวกสบาย) ส่วนเรื่องพนักงาน ก็จะขึ้นกับความมากน้อยของงานกับออฟฟิตที่มี หากในตอนแรกยังไม่เยอะมาก ผมยังอยากเสนอให้ทำเองไปก่อน และ outsource service ข้างนอกให้ได้มากที่สุด (หรือไม่ก็ขอคนรอบๆตัวมาช่วยกันก่อนครับ 55)

คน แผนก

การวางแผนไว้ว่าธุรกิจที่เราจะทำมีหลายแผนกเป็นเรื่องดีครับเพราะว่าจะได้ เป็นระบบระเบียบ เหมือนกับตอนเราทำงานในบริษัท ซึ่งมีแผนกต่างๆคอย support งานของบริษัท มีฝ่ายการเงินคอยดูเรื่องการเงิน มีฝ่ายบัญชีคอยดูแลเรื่องบัญชี มีฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด และอีกหลายๆฝ่ายคอยช่วยให้งานในบริษัทเดินได้อย่างถูกต้อง แต่กับงานของเราเอง ถ้าทุนไม่เยอะ ลืมไปก่อนเลยครับเพราะต้องใช้เงินลงทุนเยอะมาก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจำเป็นมีมากน้อยแค่ไหน ในระยะแรก เราเองต้องเป็นทุกอย่าง คิดงาน ลงมือทำ ดูตัวเลข ทำบัญชี อาจจะมีบางอย่างที่พอจะจ้างคนนอกมาช่วยได้บ้าง ดังนั้นอย่าพึ่งคิดไปไกลว่างานของเราต้องมีครบทุกแผนก แต่ขอให้มีพอที่งานจะเดินได้ก่อนแล้วค่อยๆขยายๆไปทีละนิดจะดีกว่าครับไม่ งั้นลงทุนเยอะจะเสียขวัญตอนรายได้ยังไม่เข้ามาแน่ๆครับ ดังนั้นคนเริ่มทำธุรกิจนั้นจะต้องทำได้ทุกอย่างทุกแผนกเรียกได้ว่าครบ เครื่องเลยทีเดียวละ

ชื่อเสียง

ตอนยังทำงานอยู่ ยิ่งบริษัทใหญ่ๆ การติดต่ออะไรจะดูง่ายไปหมด การใช้ชื่อบริษัทใหญ่ๆขอความช่วยเหลือจาก agency ต่างๆดูไม่ใช่เรื่องยากอะไร การต่อรองราคา การคุย scope งานดูจะง่ายไปหมด แต่พอเราต้องลงเรือลำเล็ก การต่อรองกับคู่ค้าต่างๆกลับด้านกันหน้ามือเป็นหลังมือ credit term ต่างๆโดนกดจนสุดตัว ราคาที่เคยได้ดีๆวันนี้เป็นอีกเรื่องนึง ดังนั้นผู้ประกอบการณ์ใหม่อาจจะต้องระวังเรื่องนี้ไว้ด้วยครับ นอกจากนี้หากคิดจะจ้างพนักงานมาช่วย ชื่อเสียงสำคัญมาก มีน้อยคนที่อยากจะมาอยู่กับบริษัทเล็กๆที่ยังไม่ได้พิสูจน์อะไร ไม่มีความแน่นอนทางการเงิน สินค้ายังไม่ติดตลาด ต้องใช้ใจมากๆนะครับ

สุดท้ายสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมจะออกมาแล้ว ถ้าเราคิดอย่างรอบคอบแล้ว อย่ากลัวที่จะก้าวครับ เรามีชีวิตเดียว และไม่รู้อนาคตว่าเราจะมีวันพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน อย่าให้สุดท้ายคุณมาเสียดายกับเวลาและโอกาสที่ผ่านไปโดยที่คุณไม่ได้ทำอะไร ที่คุณอยากทำ ครั้งหนึ่งในชีวิตทำให้เต็มที่ สู้ให้สุดใจครับ และเราจะเดินไปพร้อมกันครับ

Mr. N
#yesclub #หลุมพรางการทำธุรกิจ #เริ่มธุรกิจ

Biz Case

Biz Case เป็นกิจกรรมที่ทาง YES Club อยากจะทำขึ้นมาเป็น ลักษณะการทำกรณีศึกษาสั้นๆของแต่ละกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อให้พวกเรา เหล่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์ ในการมองภาพธุรกิจ และ การตลาด โดยทักษะต่างๆในการคิดจะถูกปลูกฝังในตัวเราไปทีละนิดละน้อย และ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องใช้ในธุรกิจของเราจริง เราก็จะนำทักษะเหล่านั้นมาใช้เองได้โดยอัตโนมัติ

โดยในแต่ละครั้ง เราจะสรุปภาพของธุรกิจในวงการต่างๆมาเล่าให้ฟัง และ เราอยากให้ท่านผู้อ่านใช้เวลาคิดวิเคราะห์ แค่ 3-5 นาที แล้ว แชร์ความคิดเห็นของท่านมาใน คอมเม้นเราครับ สาเหตุที่ไม่ให้คิดนานๆ เพราะไม่อยากให้เสียเวลาในการทำอย่างอื่นในชีวิต และ อยากให้คิดสนุกๆ เพื่อเป็นการฝึกไหวพริบและทักษะเราไปในตัวด้วยครับ (ไม่ต้องทำอย่างซีเรียสจริงจังนะครับ ไม่อยากจะให้เครียด)

ความรู้หากมีไว้ แต่ไม่ได้ถูกฝึกถูกใช้ ก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆเลยครับ
มาร่วมสนุก มาร่วมแชร์ ความคิดเห็นไอเดียกันดีกว่า ไม่มีใครเสีย ทุกคนจะมีแต่ได้
ยิ่งให้ ยิ่งได้นะครับ
"the more you give, the more you get"

ติดตามบทความแรกของ BizCase ได้จากลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ

https://www.facebook.com/160148840761012/photos/a.169898993119330.34803.160148840761012/592514850857740/?type=1&theater



"สร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ หนทางแห่งความอยู่รอด" YES Club: Biz Case #1



การแข่งขันในตลาดค้าปลีกในไทย ยิ่งนับวันจะยิ่งสูงขึ้น ล่าสุด กลุ่มร้านสะดวกซื้อ หรือ Convenience Store (CVS) มียอดเติบโตประมาณ 7% ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องการขยายสาขา

ในอดีตที่ ผ่านมา 7-11 เป็นยักษใหญ่ ทีคนอื่นๆคงจะแข่งขันได้ยาก เพราะแค่จำนวนสาขา ก็มีไปเกือบจะ 8,000 สาขาแล้ว ส่วนอันดับ 2 อย่าง Tesco หรือ อันดับ 3 อย่าง Family mart ก็มีประมาณ 1,000 กว่าสาขา

แต่อย่างที่รู้กันว่า ปัจจุบัน Family Mart ซึ่งบริหารงานโดยกลุ่ม Central และ Lawson 108 เจ้าใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น ที่บริหารงานโดยทาง Lawson ญี่ปุ่น และ กลุ่มสหพัฒน์ ทั้งสองกลุ่มนั้น ทุ่มกันสุดตัวในการบริหาร โดยในเท่าที่เห็นในช่วงนี้ อาจจะยังไม่ใช่เป็นการขยายสาขาให้มาก แต่เป็นการปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่จะ ขยายสาขาเพิ่มในอนาคต

Family Mart ตอนนี้ก็เริ่มที่จะปรับร้านค้า รวมไปกับกลุ่ม Tops และ Central โดยอันไหนที่ซ้ำซ้อน ก็ยกเลิก และ ปรับเปลี่ยนใหม่ เช่น Tops Daily ก็จะเปลี่ยนเป็น Family Mart นอกจากนั้นก็มีการ ทำ Model ร้านใหม่ ออกแบบร้านใหม่ๆ ให้ดู สวยงามทันสมัยมากขึ้น มากกว่า ปัจจุบัน ที่หลายๆคนบอกเป็นเหมือนร้านขายยา

แต่ที่มาแรงสุดๆ น่าจะเป็น Lawson 108 ที่ถึงจะมีสาขาในปัจจุบันแค่ 32 สาขา แต่ก็มีร้าน 108 shop ที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็น Lawson อีกกว่า 5-6 ร้อยสาขา และ ตอนนี้สิ่งที่เห็นในร้าน Lawson 108 ก็คือ มีการปรับเปลี่ยนสินค้าและ บริการกันแทบจะทุกเดือน ปัจจุบันก็มีมุมทำอาหาร Bento ซึ่งทำเป็นอาหารตามสั่ง หุงข้าว ทอด ผัด กันตรงนั้น (ถึงแม้จะเป็นการผสมระหว่าง อาหารแช่แข็งกับอาหารสด) มีมุมกาแฟ มีสินค้าเบเกอรี่ สั่งตรงทำสดจาก ยามาซากิ และ สินค้าดังๆนำเข้าจากญี่ปุ่น นอกจากนั้น ยังมีบริการเครื่องถ่ายเอกสาร และ บริการซักรีด ที่เรียกว่าแทบจะเอาทุกอย่างที่ทำได้ มาใส่ไว้ในร้านทั้งหมด แถมมีที่นั่งเป็น Counter พร้อมทั้ง ปลั๊ก สำหรับเสียบชาร์จอุปกรณ์ ไว้ล่อให้ลูกค้ามานั่งชาร์จมือถือ กันอีกต่างหาก ผมคิดว่า Lawson คงจะยังไม่ขยายสาขา จนกว่าจะได้รูปแบบร้านที่ดีที่สุดก่อน และ หลังจากนั้น คงจะเร่งในการขยายอย่างแน่นอน และ เท่าที่ดูผลตอบรับจากสาขาที่มีอยู่ในตอนนี้ ก็ดูดีเลยทีเดียว

7-11 ก็ไม่ยอมน้อยหน้าครับ ล่าสุดมีการให้บริการ โจ๊กปรุงสด ไอศกรีมซอฟต์เสริฟ์ หรือ อาหารใหม่ๆ เช่น กล้วยปิ้ง ข้าวโพดต้ม บางสาขา มีห้องน้ำให้อีกต่างหาก

จากที่บอกมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า ทุกๆเจ้า พยายามที่จะนำเสนอ สิ่งที่มีคุณค่าใหม่ๆต่อลูกค้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นในแง่สินค้าหรือ บริการ และ ถ้าใครหยุดอยู่กับที่ อาจจะไปไม่รอดก็เป็นได้ แค่ขยายสาขา อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไปครับ เพราะสินค้าและบริการ ที่สร้างคุณค่า ให้กับลูกค้าให้สมกับคำว่า "สะดวกซื้อ" ก็ต้องพัฒนากันไปเรื่อยๆ

เรามาลองคิดกันเล่นๆ สนุกๆดีกว่าครับ ว่า ถ้าหาก เราเป็นหนึ่งในผู้เล่นในตลาดที่เป็นรอง หรือเป็นร้าน mini mart เล็กๆ ที่ไม่ใช่ เจ้าตลาดอย่าง 7-11... เราจะเพิ่มคุณค่าอย่างไรให้กับธุรกิจของเรา เพื่อให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดได้

ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไรครับ ??
แชร์ความเห็นของคุณมาที่ คอมเม้นด้านล่างได้เลยครับ
ทุกความคิดเห็นมีค่า ต่อพวกเราทุกๆคนครับ

ARA
#YESCLUB #BIZCase

5 Tips สู่ความสำเร็จ สำหรับผู้ประกอบการ จาก Sir Richard Branson

5 Tips สู่ความสำเร็จ สำหรับผู้ประกอบการ จาก Sir Richard Branson

ท่านเซอร์ Richard Branson บุรุษผู้เป็นต้นแบบของ Entrepreneur อีกคนในยุคนี้ ได้ฝากข้อคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ไว้ให้กับ ผู้ประกอบการทั้งหลายจะได้ลองนำไปปฏิบัติตามกันนะครับ

1. Business = Make the better life
ธุรกิจที่ดีคือ อะไรก็ตามที่ทำให้ ชีวิตของคนอื่นๆดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สินค้าหรือบริการ หากคุณสามารถทำให้ลูกค้า หรือ คู่ค้าของคุณ มีชีวิตที่ดีขึ้น ง่ายขึ้น มีความสุขมากขึ้น ธุรกิจคุณไปได้ดีแน่นอน

2. Great Team Great People
คุณต้องมีทีมงาน และ พนักงานที่ยอดเยี่ยม อย่าลืมดูแล ให้ความสำคัญ ให้ความรู้ กับทีมงานของคุณ เพราะธุรกิจคุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ พนักงานของคุณ

3. Best Product & Service
สินค้า หรือ บริการ ที่มีคุณค่าต่อลูกค้า และ คุ้มค่ากับเงินที่เค้าจะต้องจ่ายให้กับคุณ และ คุณต้องมั่นใจว่า ของๆคุณดีกว่าคนอื่นๆในตลาด

4. Promote / Communicate
ทำให้คนรู้จัก สิ่งที่คุณจะขายให้ได้มากที่สุด พยายามเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด ถ้าเป็นกรณีของคุณ Branson เค้าจะทำอะไรที่แปลกๆตลอดเวลา เพื่อที่จะลง หน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ และ ออกข่าวให้ได้มากที่สุด โดยที่เสียเงินน้อยที่สุด

5. FUN
สิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องมีความสนุก และ มีความสุข ไปกับ ธุรกิจของคุณ หากสิ่งที่คุณทำอยู่คุณไม่สนุกและไม่ทำให้คุณไม่มีความสุข คุณก็จะไม่กระตือรือร้นที่จะทุ่มเทในการทำงานและพัฒนามันไปให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ลองนำข้อคิดดีๆ ไปปฏิบัติกันนะครับ

ชมคลิปต้นฉบับได้ที่ Link ด้านล่างเลยครับ (เป็นภาษาอังกฤษ ไม่มี Subtitle นะครับ)
http://www.youtube.com/watch?v=imLVFCyl5DI

ปล. รูปส่วนใหญ่ที่เราเห็นอาจจะเป็นรูปเท่ห์ๆ ของ คุณ Branson ทางเราเลยเอารูปสนุกของเค้ามาฝากกันครับ จะได้เข้าใจ Tip ในสองข้อสุดท้ายอย่างชัดเจน ว่าความสนุก และ การทำให้ได้ลงสื่อที่เค้าว่ามันหมายความว่าอย่างไร และ คนๆนี้ก็เป็นต้นแบบของการที่ผู้นำองค์กร ออกมาทำอะไรต่างๆเอง ด้วยครับ

ARA
#YESCLUB

ฌอน เบลนิค (Sean Belnick) Young Millionaire

ขอแชร์บทความดีๆ ที่เป็นเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ครับ เป็นเรื่องของ เด็กหนุ่มที่เริ่มธุรกิจตั้งแต่อายุ 14 ปี ตอนนี้มีกิจการมูลค่าหลายล้านเหรียญ

"อายุ และ ประสบการณ์ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันอยู่ที่ว่า คุณกล้าที่จะเริ่มเมื่อไหร่"

-----------------------------
ฌอน เบลนิค (Sean Belnick)

Young Millionaire

เขาอายุ 14 ตอนปี 2001 และมีเงินเก็บอยู่ 5,000 ดอลลาร์ แทนที่หนุ่มน้อยจะเอาเงินนั้นไปซื้อเครื่องเล่นเกมแพงๆ หรือจักรยานเสือภูเขาแบบที่วัยรุ่นเขานิยมกัน ฌอนกลับคิดว่ามันจะดีกว่าไหม ถ้าเขาเอาเงินมาลงทุนขายของในเว็บไซต์ โดยใช้ห้องนอนเป็นสำนักงานใหญ่ พ่อเลี้ยงของเขาเป็นคนให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีเปิดร้านออนไลน์ แต่ฌอนเป็นคนเลือกสินค้าที่จะนำมาประเดิมร้านขายของของเขา
มันเป็นเรื่องแปลกที่เด็กอายุ 14 กลับตัดสินใจเลือกที่จะขายเก้าอี้สำนักงานและเฟอร์นิเจอร์สำหรับภัตตาคาร โบสถ์ โรงเรียน บ้าน คลินิกแพทย์ ฯลฯ

Belnick Inc. ที่ฌอนตั้งขึ้นใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปี ก็สามารถเปิดหน้าร้านในอาคารคลังสินค้าขนาดใหญ่ (Warehouse) เนื้อที่ 3,700 ตารางเมตร เพื่อขายสินค้าควบคู่กับบริการขายผ่านออนไลน์ ตามมาด้วยการเปิดร้าน ขนาดเนื้อที่ 30,400 ตารางเมตร ในรัฐจอร์เจีย เมื่อปี 2007 และปี 2009 จากนั้นจึงรุกตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดแผนกบริการใหม่คือ “Microsite” ที่ให้บริการเป็นที่ปรึกษาจัดหาเฟอร์นิเจอร์แก่ลูกค้าผ่านบริการทางโทรศัพท์ และอีเมล์

นอกจากจะประสบความสำเร็จในการบริหาร Belnick Inc. และ BizChair.com แล้ว ในปีที่ผ่านมา ฌอนยังขยายกิจการของเขาด้วยคลังสินค้า และสำนักงานบริการขนาดใหญ่กว่า 65,200 ตารางเมตร ทำให้เขาฉลองการก้าวเข้าสู่วัยเบญจเพส ด้วยยอดขายเฟอร์นิเจอร์ที่สูงถึง 58 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า

“อายุเท่าไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญในเวลาที่คุณคิดจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งธุรกิจ มันสำคัญที่ว่าคุณหาแนวทางที่คุณชอบเจอหรือไม่ และต้องการทำมันอย่างจริงจังแค่ไหนต่างหาก”
---------------------------------------------

ขอบคุณรูปภาพและเรื่องจาก: เพจ SET
https://www.facebook.com/set.or.th?fref=photo

วัคซีนจากความล้มเหลว



มีหลายอย่างในที่ชีวิตคนเราไม่สามารถควบคุมได้
เช่น ความล้มเหลว, ความผิดหวัง เมื่อเราล้มเหลวในชีวิตของเราเอง... คิดแง่บวกซิแล้วจะหาทางออกได้เอง! ฟังดูเป็นทางออกที่ดีและง่าย แต่พอเจอเขากับตัวเองมันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิดแต่ก่อน

มันเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่จะคิดแง่บวกในสถานการณ์อย่างนั้น กับชีวิตของเราเอง
ประสบการณ์ตรงสอนให้ผมรู้ว่า คุณค่าของคนอยู่ที่ว่าเราจะลุกกลับขึ้นมาจากความล้มเหลวนั้นได้เร็วแค่ไหน เราจะพลิกเกมส์จากความล้มเหลวมาเป็นพลังและประสบการณ์ได้เร็วแค่ไหน

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้
1. ความล้มเหลวมันขมและเจ็บปวด
2. ความล้มเหลว, เราไม่ได้ต้องการมันแต่มันก็มา
3. เมื่อเราล้ม, เราไม่สามารถวิ่งหนีมันไปได้, มันอยู่กับเราแล้ว
4. เมื่อเราล้ม, ส่วนใหญ่เราจะไม่เหลือเงิน, และเราก็จะไม่ค่อยเหลือใคร (จะเหลือก็แต่คนที่รักและหวังดีกับเราจริง ๆ)
5. แต่ความล้มเหลวเปรียบเสมือนยาหรือวัคซีนที่ให้เราแข็งแรงขึ้น

การมองความล้มเหลวในแบบนี้ทำให้ผมฮึดขึ้นสู้อีกครั้ง
ความล้มเหลวมันขมจริง, เจ็บปวดจริง, ไม่อิงนิยาย
เราไม่มีทางเลือกอื่น, จะสู้หรือจะปล่อยให้ความพ่ายแพ้อยู่กับเราไปจนตายอย่างคนไร้ค่า มีแค่คำตอบเดียวเท่านั้น... เราต้องกลับมาสู้ และกลับมาให้ได้เร็วที่สุด
ขมเป็นยา เราเรียนรู้จากความล้มเหลวได้, เราเริ่มใหม่ได้, เราไม่ให้ผิดซ้ำได้
ตอนเราถูกฉีดวัคซีนมันเจ็บนะ แต่หลังจากนั้นเราจะมีพลังและภูมิต้านทานกลับมาสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้

ผมลุกขึ้นสู้แล้วเรียกความมีคุณค่าในชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง
เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน, ชีวิตมีลงมีขึ้น ผมไม่สามารถห้ามปัญหาหรือความล้มเหลวที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตผมอีก แต่ตอนนี้ผมได้รับวัคซีนที่จะทำให้ผมกลับลุกขึ้นมาสู้ได้เร็วขึ้นและจิตใจ ที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมรับด้วยรอยยิ้มและใจที่มีสติ

การเตรียมตัวที่ดีสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จในการทำสิ่ง ต่าง ๆ แต่ต้องอย่าลืมเตรียมใจกับความผิดหวังและล้มเหลวโดยปัจจัยที่เราไม่ได้คาด คิดมาก่อน เตรียมแผนสำรองไว้นะครับ อย่าประมาทเพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ

NLK

#yesclub

ทฤษฎี กับ เรื่องจริงๆ



สำหรับคนที่เรียนทางด้านบริหารธุรกิจมาคงได้เรียนรู้ ทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจมามากมาย ตั้งแต่ในด้านการตลาด การบริหาร การวางกลยุทธ์ หรือ แม้ในแต่เรื่องการควบคุมการผลิต ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เรียนมาก็จะถูกปลูกฝังอยู่เสมอ ว่าต้องเชื่อและต้องทำตาม เพราะทฤษฎีนั้นเกิดจากการที่นักวิชาการได้ทำสำรวจและศึกษา เศรษฐกิจ ตลาด และจากผลของการดำเนินธุรกิจของหลากหลายบริษัทชั้นนำ จากนั้นนำมาวิเคราะห์และสรุปเป็นทฤษฎี

แต่ในความเป็นจริงนั้น ทฤษฎีต่างๆนั้นแทบจะไร้ประโยชน์มากๆหากคนที่รู้ไม่นำไปปฏิบัติในชีวิตจริงใน การทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบการศึกษาในไทยนั้นปลูกฝังให้นักเรียนท่องจำ แต่ไม่เข้าใจ พอถึงเหตุการณ์จริงๆก็นำไปประยุกต์ใช้ไม่ได้ แต่คุณรู้มั๊ยครับว่า ยังมีที่แย่และร้ายแรงกว่านั้น คือ นำทฤษฎีไปใช้ในแบบผิดๆ หรือใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม

ก่อนอื่นๆ เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทฤษฎีนั้นเกิดจากการรวบรวมข้อมูลในอดีต และ นำมาสรุปวิเคราะห์เป็นทฤษฎี ผมขอย้ำนะครับ ว่าเป็น ข้อมูลใน “อดีต” ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างไม่มากก็น้อย และ ทฤษฎีต่างๆมักจะมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขอยู่ตลอดเวลา แต่คนไทยเราบางครั้งอาจจะรับรู้ได้ช้ากว่าทางประเทศตะวันตก ซึ่งหนังสือเรียนเค้ามี Update กันเกือบจะทุกปี แต่ในบ้านเรา 10 ปีผ่านไป เรายังใช้หนังสือและความรู้เล่มเดิมๆกันอยู่เลยครับ
ที่ผมบอกไปว่า การนำทฤษฎีไปใช้ในแบบผิดๆ หรือใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงได้ เนื่องจาก เรานำสิ่งที่เรียนรู้มาไปใช้โดยไม่ได้ ประยุกต์ปรับเปลี่ยน หรือ ดัดแปลงให้เหมาะสมกับ ธุรกิจของเรา เช่น
- ทฤษฎีส่วนใหญ่มาจากอเมริกา สภาพแวดล้อม และ ตลาดต่างๆเกิดขึ้น อเมริกา แต่เราประยุกต์ใช้ในประเทศไทย ซึ่งสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมก็แตกต่างกันอย่างมาก
- บริษัทที่เค้าสำรวจและวิเคราะห์ในการทำทฤษฎี ส่วนใหญ่เป็นบริษัทใหญ่ระดับโลก แต่ธุรกิจเราอาจจะเป็นแค่ SME เล็กๆในประเทศเล็กๆ

ทฤษฎี ที่ผมเห็นคนใช้ผิดเป็นประจำ เช่น บริษัทต้องมี Vision และ Mission เราก็ทำตามที่ฝรั่งเค้าบอก โดยไม่ได้เข้าใจมันอย่างแท้จริง บริษัทแทบจะทุกบริษัทมี Vision และ Mission ที่สวยหรู แต่ไม่มีใครเข้าใจ แม้แต่ เจ้าของเองก็ยังไม่เข้าใจ หรือจะเป็นเรื่อง ของ KPI, Balance Score Card หลายต่อหลายบริษัท ทำขึ้นมาโดยไม่ได้สะท้อนถึงหลักจริงๆของ ทฤษฎีเหล่านี้ ว่าเค้าทำมาเพื่ออะไร และทำไปทำไม แต่ก็อยากดูดี อยากเท่ ก็เลยนำไปใช้ สรุป คนที่ปวดหัว ก็คือ พนักงานที่ต้องมานั่งสรุปข้อมูล KPI อะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทเลย

ยิ่งเป็นพวกกลุ่มทายาทธุรกิจต่างๆที่จบมาจากนอก พอกลับมาก็ไม่เคยที่จะลงไปคลุกคลีกับการทำงานในระดับล่างๆ มาถึงก็ได้รับตำแหน่งใหญ่ๆโตๆ หลังจากนั้นก็ปรับเปลียนแก้ไขทุกอย่างให้เป็นตามแบบที่เรียนมาก หรือที่มีประสบการณ์มาจากเมืองนอก สุดท้ายไม่เข้าใจในธรรมชาติของธุรกิจตนเอง ก็เจ๊งกันไปหลายราย แต่ก็มีหลายกลุ่มบริษัทที่มีลูกหลานที่มีฝีมือ ที่รู้จริงและสามารถประยุกต์หลักการบริหารให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะ สม

ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อในบทความนี้คือ ทฤษฎี มันดี ถ้าเรารู้จักใช้ให้เป็น โดยเราต้องเข้าใจถึงที่มาที่ไปของแต่ละเรื่อง หลังจากนั้นเราจึงนำไปคิดและวิเคราะห์ต่อและปฏิบัติให้เหมาะสมกับธุรกิจของ เราเอง เราไม่จำเป็นต้องทำตามบริษัทใหญ่ ทำตามชาวตะวันตกทุกอย่าง เราควรจะเรียนรู้มาเพื่อปรับปรุงและประยุกต์ให้เป็นกลยุทธ์และทฤษฎีสำหรับคน ไทยอย่างเราๆ ไม่ว่าคุณจะฟังเรื่องราวต่างๆมาจากใคร อย่าเพิ่งปักใจเชื่อจนกว่าจะได้ลองและลงมือทำเองและเห็นผลสำเร็จเองครับ

ARA

#yesclub

5 กับดักที่ทำให้คนที่เพิ่งออกมาทำธุรกิจตัวเองล้มเหลว



วันก่อนมีเพื่อนผมคนหนึ่งได้ลาออกมาทำธุรกิจของตัวเองอย่างเต็มตัวแล้ว เพื่อนๆ หลายคนแสดงความยินดีที่ได้หลุดพ้นจากวังวนพนักงานออฟฟิศไม่ต้องเครียด ไม่ต้องเจอปัญหาเดิมๆ อีกแล้ว ผมก็ยินดีกับเค้าด้วย ครับที่อย่างน้อยๆ ได้เริ่มต้นทำตามความฝันตัวเอง แต่พอเพื่อนผมพูดว่าวันแรกของการทำงานจะจัดของจัดบ้าน แล้วไปพักผ่อนฉลองอิสรภาพเท่านั้นล่ะครับ ผมอึ้งเลย เพราะปัญหาหลักๆ เลยของคนออกมาทำธุรกิจตัวเองคือมีอิสระมากเกินไปทั้งเวลาและความคิด นี่เป็นสิ่งที่คนทำธุรกิจต้องผ่านเป็นด่านแรกๆ เลย ผมขอเล่าเป็นข้อๆ ว่ากับดักอะไรที่ผมเคยเจอและคุณจะต้องเจอครับ

1. ไม่รู้ว่าออกมาแล้วต้องทำอะไรบ้าง
คนเคยทำงานประจำ เปรียบเหมือนอยู่ในค่ายทหาร ต้องมีระเบียบวินัย เข้าออกงานตรงเวลา มีเจ้านายบังคับบัญชาว่าต้องการอะไรบ้าง แต่พอคุณมีเวลาเป็นของตัวเองแล้วคุณก็เหมือนทหารปลดประจำการ มันเคว้ง ถามคนที่ออกจากงานมาทำธุรกิจแล้ววันแรกที่ทำงานคุณทำอะไรครับ ผมเชื่อว่าเกินครึ่งไม่รู้ว่าวันแรกจะทำงานอะไร เลยทำให้ส่วนใหญ่ไปเดินช้อปปิ้ง กินเที่ยวฉลองการเป็นอิสระครับ เรื่องนี้ผิดนะครับ คุณควรเริ่มธุรกิจของคุณในวันแรกทันที ให้เหมือนที่คุณเริ่มงานวันแรกในการเป็นลูกจ้างที่คุณก็ไม่ได้เริ่มวันแรก ด้วยการหยุดงาน

2. ขาดวินัย
หลายคนรวมทั้งผม เคยจินตนาการว่าเมื่อได้ทำธุรกิจของตัวเองคุณจะเริ่มทำงานสายๆ เลิกงานดึกๆได้เพราะเป็นธุรกิจเราเอง ที่ทำอย่างนี้เพื่อชดเชยที่เราเคยถูกบังคับให้ตื่นเช้าไปเข้างานให้ตรงเวลา ในช่วงที่เราเป็นลูกจ้าง เชื่อผมเหอะวันแรกของการทำธุรกิจคุณจะตื่นสายตามที่คุณฝันครับ แต่ที่แย่คือคุณจะเหนื่อยและเลิกงานเร็วกว่าตอนเป็นลูกจ้างอีกตะหาก (ชดเชยสองเด้งเลย) อันนี้บอกไว้เลยว่าไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ ยิ่งถ้าคุณมีลูกน้องด้วย ลูกน้องคุณจะเอาเป็นแบบอย่างแน่นอน (ไม่เชื่อลองดูตัวเองว่าเคยเอาอย่างหัวหน้าที่ชอบมาสายมั้ย) วันแรกของการมีอิสระก็วัดตัวตนของคุณได้พอสมควรแล้วว่าคุณลาออกมาเพราะอยาก ทำธุรกิจหรือแค่ไม่อยากทำงานประจำ แต่ไม่เป็นไรครับ คนเราปรับปรุงตัวได้ ถ้าตอนนี้ธุรกิจใครที่ยังไม่มั่นคง แต่ทำงานสัปดาห์ละไม่ถึง 5 วัน ที่เหลือเที่ยวก็ควรปรับปรุงตัวด่วนเลยนะครับ

3. มีเวลาเยอะเกินไปทำให้ผัดวันประกันพรุ่ง เฉื่อยชา ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
การมีเวลาเยอะมันดีนะครับ แต่การมีเวลาเยอะเกินไปจนเรียกว่าเหลือเฟือมันไม่ดี เมื่อมีเวลาเยอะคุณจะพยายามทำงานให้เสร็จตามเวลาที่คุณมี งานเดียวกัน ถ้าคุณมีเวลา 8 ชั่วโมง คุณก็จะทำเสร็จโดยใช้เวลา 8 ชั่วโมง ถ้าคุณมีเวลาชั่วโมงเดียว คุณก็จะทำได้เสร็จในเวลาชั่วโมงเดียว ด้วยผลงานที่ออกมาเหมือนๆ กัน แนวทางที่คุณควรแก้ไขคือ จำกัดเวลาทำงานครับ งานที่ทำเสร็จชั่วโมงเดียว ก็ต้องทำให้เสร็จในชั่วโมงเดียว ถ้าวันๆ นึงคุณมีงานให้ทำน้อย แต่ยอดขายยังไม่ถึงเป้า แปลว่าคุณต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว ไม่ใช่ทำงานไม่สร้างคุณค่า หลอกตัวเองไปวันๆ ว่างานยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไร อย่าลืมนะครับว่าตอนคุณยังไม่ออกจากงานคุณเคยบ่นว่าถ้าทำธุรกิจตัวเองฉันคง ทำอะไรเต็มที่และทำได้มากกว่านี้

4. คิดจะทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ทำให้แบ่งเวลาไม่ถูก
บางคนก็มั่นใจในตัวเองมากครับว่าเก่งกาจ สามารถทำหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันได้ พอออกมาแล้วมีเวลาเยอะ ยิ่งมั่นใจเลยว่าทำได้ แต่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผลออกมาคือเละทุกอย่างครับ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะเราทำหลายเอย่างมากเกินไป ไม่มีเวลาไปเน้นในสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้ดีขึ้น ครึ่งๆ กลางๆ นั่นก็ดี นี่ก็ใช่ ทำพร้อมกันเละพร้อมกัน คุณควรทำไปทีละอย่างเท่านั้นครับ ถ้าอดใจไม่ไหวจริงๆ (เหมือนผม) ให้เลือกทำแค่ครั้งละ 2 อย่างครับ อย่างนึงเป็นหลักเน้นให้มาก อีกอย่างเป็นงานเสริมไป แต่ต้องแบ่งเวลาให้ชัดเจนว่าจะทำอะไรเวลาไหนครับ

5. รู้สึกเคว้งคว้าง ไม่มั่นคง จนอยากกลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม
หมดกำลังใจก่อนสำเร็จ ออกมาไม่ถึงเดือน ยังหาลูกค้าไม่ได้ ไม่มีเงินเข้า รู้สึกไม่มั่นคง คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับทำธุรกิจ เลยกลับไปทำงานออฟฟิศเหมือนเดิมกินเงินเดือนสบายกว่า การทำงานเป็นลูกจ้างเหมือนกับการปลูกพืชสวนครัวครับ เดือนเดียวก็กินได้แล้ว แต่การทำธุรกิจตัวเองก็เหมือนคุณปลูกไม้ยืนต้น คุณต้องอดทนรอคอยความสำเร็จได้ เหมือนเริ่มตั้งแต่ปลูกต้นกล้าเอง รอมันเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ออกดอกออกผลแล้วค่อยเก็บเกี่ยว ถึงจะนานแต่คุณเก็บเกี่ยวได้ตลอดชีวิต ที่คุณท้อเพราะแค่ยังไม่ชินกับการปลูกไม้ยืนต้นเท่านั้นเองครับ

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เริ่มทำธุรกิจและคนที่กำลังท้อแท้นะครับ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่เหมาะกับการทำธุรกิจเพราะทำแล้วทุกอย่าง ผมอยากให้คุณถามตัวเองจริงๆ ว่าคุณได้ทำทุกอย่างที่ต้องทำแล้วจริงๆ หรือเปล่า

#yesclub

KAL