วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์ธุรกิจด้วยสามเหลี่ยมมหัศจรรย์!!



วิเคราะห์ธุรกิจด้วยสามเหลี่ยมมหัศจรรย์!!

สำหรับคนที่มีธุรกิจส่วนตัว ระหว่างทางเราอาจจะเจอปัญหา 108 ซึ่งเราก็รู้วิธีแก้บ้าง ไม่รู้บ้าง งมเข็มกันหาไปเรื่อยบ้างก็มี แล้วยิ่งสำหรับธุรกิจ SME เล็กๆที่ไม่มีตัวช่วยเยอะ บางทีเราอยู่ในปัญหาและมองไม่ออกว่าจะเริ่มจากไหนดี ผมเลยอยากเอาโมเดลง่ายๆมาทำความเข้าใจปัญหาของธุรกิจของเรา


หากแบ่งปัญหาของธุรกิจออกเป็นขั้นบันไดจะพบว่า ปัญหาแต่ละช่วงมีทางแก้และต้นเหตุของปัญหาต่างกัน คนทำธุรกิจอาจจะขายได้ไม่ดี ไม่ใช่เพราะว่าสินค้าคุณไม่ดี จริงๆสินค้าคุณอาจจะดีแต่ไม่มีใครเคยมาลองใช้ดูต่างหาก


ผมจะลองแบ่งปัญหาของธุรกิจออกเป็น 5 ชั้นดังนี้ครับ

1. ชั้นแรกคือสินค้าและธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักดีแล้วหรือไม่ ประเด็นนี้สำคัญมากๆ หลายคนไม่รู้ต้นเหตุของปัญหา ด้วยยอดขายที่น้อยก็ไปปรับสินค้าที่หลายๆทีสินค้าหรือบริษัทก็ดีอยู่แล้วไปปรับแล้วปรับอีก ยอดขายก็ยังไม่กระเตื้องซักที หากคุณเจอปัญหานี้ให้ลองหาวิธีโปรโมตสินค้าให้คนรู้จักก่อน หากคุณทำธุรกิจที่ใช้สื่อออนไลน์ มันมีวิธีจะวัดได้ง่ายๆรวมถึงวิธีที่จะใช้โปรโมต เพราะหากคุณทำตลาดผ่าน facebook หรือ google คุณสามารถวิเคราะห์ถึงความรู้จักสินค้าหรือร้านค้าคุณได้อย่างง่ายๆ แต่ถ้าไม่ใช่หากคุณแค่เปิดร้าน ให้ลองสังเกตคนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่ามีเยอะมากน้อยแค่ไหน ลองคุยกับกลุ่มเป้าหมายของคุณว่า ทุกๆคนนั้นรู้จักยี่ห้อหรือร้านของคุณดีแค่ไหน หากคำตอบคือว่าไม่ค่อยรู้จัก คุณควรจะทำสินค้าและร้านค้าของคุณให้เป็นที่รู้จักได้แล้ว



2. ชั้นที่สองคือความสนใจของสินค้า อันนี้เกี่ยวกับการ display และ packaging รวมถึงชื่อ brand และประโยชน์ต่างๆของ brand ของคุณด้วย เพราะคนรู้จักคุณแล้วแต่พวกเค้าไม่สนใจในสินค้าของคุณ สิ่งที่คุณควรจะทำคือ เรียนรู้ปัญหาว่าทำไมเค้ารู้จักแต่ไม่สนใจสินค้าของคุณ คุณอาจจะตั้งกลุ่มเป้าหมายผิด สินค้ากับกลุ่มเป้าหมายอาจไม่ตอบโจทย์กัน หรือว่ากลุ่มเป้าหมายอาจจะถูกแล้วแต่คุณนำเสนอรายละเอียดต่างๆไม่เหมาะกับกลุ่ม ดังนั้น คุณต้องหาวิธีนำเสนอให้คนที่รู้จักสินค้าหรือร้านค้าของคุณสนใจให้ได้



3. ชั้นที่สามคือการซื้อสินค้า คนทั่วไปรู้จักสินค้าคุณ เดินผ่านร้านค้าคุณ และสนใจที่จะหยิบมันขึ้นมาดูเปรียบเทียบกับสินค้าอื่นๆร้านค้าอื่นๆ แต่เค้าไม่ซื้อของคุณ นั่นแปลว่า สินค้าของคุณอาจจะด้อยกว่าของคนอื่น อาจจะแพงกว่า อาจจะน่าสนใจน้อยกว่า หรือสินค้าของเราอาจจะไม่มีความแตกต่างมากพอ สิ่งที่คุณต้องทำนั้นคือ แก้ที่ตัวสินค้า หรือราคา บางที value ของสินค้าของคุณอาจจะไม่มีมากพอ ดังนั้นต้องเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้าของคุณ (อาจจะไม่ต้องลดราคา แต่ให้สิ่งที่มากกว่าเข้าไปแทน)



4. ชั้นที่สี่คือการซื้อซ้ำ ลูกค้าเจอสินค้าเราเจอร้านเรา เปรียบเทียบกับร้านอื่นไปแล้ว และทำการซื้อไป เหมือนจะดีแล้วอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำคือกลับมาซื้อซ้ำ เพราะหากไม่กลับมาซื้อซ้ำแล้วคุณจะต้องเสียค่าการตลาดที่แพงมากๆในการหาลูกค้าใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา และปัญหาโดยตรงคือสินค้าที่ซื้อไป ไม่ตอบโจทย์ ไม่เหมือน package ที่เห็น ไม่เหมือนโฆษณาที่ดู ไม่เหมือน สิ่งที่คาดหวังไว้ตอนแรก คุณจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับปรุงอย่างรวดเร็ว ไม่งั้นลูกค้าที่ได้ลองซื้อสินค้าคุณไปและไม่กลับมาซื้อซ้ำ ระยะยาวจะมีปัญหาแน่ๆ



5. ชั้นสุดท้ายคือการแนะนำให้คนอื่นมาซื้อสินค้าคุณ ข้อนี้คือที่สุดสำหรับกลยุทธ์ ทำยังไงให้คนที่มาซื้อของๆเรา กลับมาซื้อซ้ำ ไม่พอยังแนะนำเพื่อน แนะนำคนรู้จัก แนะนำครอบครัวมาซื้อของเราอีก นี่คือสิ่งที่สำคัญมากๆ หากคุณต้องการอยู่ได้ในระยะยาว คุณต้องสร้างความพอใจให้ลูกค้าขั้นสุด จนเค้ามั่นใจและยอมเอาคอพาดเขียงเพื่อแนะนำสินค้าและบริการของคุณให้คนรอบๆตัวได้รู้จักครับ



มองย้อนกลับมาที่ธุรกิจคุณ ตอนนี้ธุรกิจคุณติดปัญหาอยู่ที่ชั้นไหนกันครับ ลองมาแชร์กันดูก็ได้ครับ เผื่อช่วยกันคิดหาทางออกที่ดีๆได้ครับ



Mr.N



#yesclub #กลยุทธ์ธุรกิจ #ปัญหาธุรกิจ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับคนที่ชอบอ่านบทความดีๆเกี่ยวกับการทำธุรกิจ สามารถติดตามพวกเรา yesclub ได้ที่ https://www.facebook.com/yesclubbusiness



และสำหรับบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันนั้นสามารถติดตามได้เช่นกันครับ



***5 เหตุผล ที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ ไปไม่รอด  

http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/5.html


***คุณบริหารกิจการของคุณอย่างไร
http://www.yesclubbusiness.com/2014/09/blog-post_17.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น