วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

AEC กับ SME ไทย: ตอนที่ 5 SME ไทยต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไร

วันนี้ผมจะมาสรุปนะครับว่า SME ไทยต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง อันนี้เป็นกลยุทธ์ที่ผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐเคยให้แนวทางไว้สำหรับ SMEs ในการปรับตัวนะครับ เราเริ่มกันเลย
1.       หาคู่ค้า พันธมิตร
ในเมื่อเราจะต้องเจอคนที่ทำธุรกิจแบบเดียวกับเราเข้ามากันมากขึ้น การปรับตัวอาจจะไม่ลงเอยที่การแข่งขันเสมอไป เราสามารถหาคู่ค้า พันธมิตร (Partner) จากต่างประเทศที่เค้ามีศักยภาพและพอๆ กับเรา เมื่อร่วมมือกันแล้วทำให้ต่างคนต่างแข็งแกร่งได้ ในการหาพันธมิตรนั้นมีข้อดีคือเป็นการกีดกันคู่แข่งกลายๆ เข้าทำนองว่าแบ่งกันกินแบ่งกันรวย นอกจากนี้เรายังสามารถ SMEs เล็กๆ ก็เริ่มจากการหาพันธมิตรเล็กๆ ไปก่อน หาคนที่พร้อมจะเติบโตไปด้วยกันพร้อมกับเรา
2.       หาแหล่งวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตใหม่
การรวมกลุ่มกับประเทศ CLMV เข้ามานั้น เราจะสามารถทำให้สินค้าเรามีต้นทุนที่ถูกลงด้วยการกระจายการผลิตไปสู่ประเทศที่มีต้นทุนถูกกว่านั่นเอง ยกตัวอย่างโรงงานปลาหมึกแห่งหนึ่ง เปลี่ยนฐานการผลิตไปประเทศเวียตนาม เนื่องจากที่นั่นมีแหล่งวัตถุดิบชั้นดี มีปลาหมึกเป็นจำนวนมาก เมื่อจับได้เสร็จก็แปรรูปที่นั่นเลย เสร็จแล้วส่งชิ้นอาหารมาแบ่งบรรจุที่ประเทศไทย แล้วมาทำการกระจายสินค้าที่กรุงเทพฯ เป็นต้น
3.       เปลี่ยนโมเดลการทำธุรกิจ เป็นเทรดเดอร์รวมถึงไปลงทุนในต่างประเทศ
ผมเห็นผู้ส่งออกที่เป็นโรงงานหลายๆ แห่ง เปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจโดยการทำตัวเป็นเทรดเดอร์ซะเอง ในเมื่อไปเปิดตลาดต่างประเทศแล้วไม่หยุดอยู่แค่นั้น บริษัทเหล่านั้นก็ทำตัวเป็นเทรดเดอร์ รับสินค้าอื่นๆ จากไทยไปขาย และยังนำสินค้าจากประเทศนั้นๆ เข้ามาขายในไทยอีกต่างหาก
นอกจากนี้จากเดิมที่เราเคยแค่ลงทุนแต่ในประเทศไทย เราก็สามารถขยายการลงทุนไปที่ต่างประเทศได้อีกด้วย การที่ท่านไปเปิดโรงงานผลิตในประเทศอื่นๆ ที่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีก็จะทำให้ท่านสามารถส่งออกสินค้าไปประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ได้อีกด้วย
4.       คำนึงถึงลูกค้าเพื่อนบ้านมากขึ้น
ต่อจากนี้การทำธุรกิจอะไรก็ต้องคำนึงถึงประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนด้วย ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจท่องเที่ยว ก่อนหน้านี้ฝรั่งที่เที่ยวเมืองไทยจะมาลงที่กรุงเทพฯ แล้วซื้อทัวร์ไปต่อที่พัทยา อยุธยา หรือบินไปเชียงใหม่ ภูเก็ต แต่เดี๋ยวนี้นักท่องเที่ยวสามารถหาทัวร์ไปเที่ยวลาว กัมพูชาได้ที่กรุงเทพฯ หรือพัทยา
การสร้างผลิตภัณฑ์อาจจะต้องทำแพ็กเกจจิ้งให้มีหลายภาษาด้วย เพื่อจะได้ขายทีเดียว เช่น ภาษาไทย อังกฤษ เวียตนาม หรือภาษาจีน และจะมีสินค้าใหม่ๆ จากทุกประเทศเข้ามาในไทยมากขึ้น
การต้อนรับลูกค้า พนักงานอาจจะต้องรู้จักภาษาของลูกค้า ที่ใช้ในการทักทายหรือคำศัพท์เบื้องต้นมากขึ้น หรืออย่างน้อยร้านขายอาหารทั่วไป พนักงานก็ควรจะพูดภาษาอังกฤษได้ (นึกภาพตอนเราไปสั่งอาหารที่ฮ่องกง คนที่นั่นจะพูดได้ทั้งจีนและอังกฤษ)
5.       สร้างตลาดใหม่กับลูกค้ากลุ่มที่ใหญ่ขึ้น
ในบรรดาประเทศอาเซียนนั้น แม้จะต่างภาษาต่างวัฒนธรรม แต่ยังมีบางอย่างที่เป็นความต้องการคล้ายๆ กัน สามารถรวมเป็น segment หรือตลาดกลุ่มเดียวกันได้ เช่น อาหารฮาลาล คนมุสลิมไม่ได้มีเฉพาะในไทย ยังมีทั้งในมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียและบรูไน หรือการบริการท่องเที่ยว เราอาจจะดึงดูดนักท่องเที่ยวมาไนไทยได้อีกมากมาย
6.       ทำตลาดโดยใช้ช่องทางการค้าชายแดนให้มากขึ้น
การค้าชายแดนที่นับวันจะเติบโตขี้นเรื่อยๆ และกลายเป็นตลาดสำคัญสำหรับสินค้าส่งออกไทย นอกจากช่องทางที่เอื้ออำนวยแล้ว ภาพลักษณ์สินค้าไทยในสายตาประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม CLMV ก็ดีมากๆ ด้วย คนที่นั่นรับรู้ว่าสินค้าไทยดี มีคุณภาพและราคาไม่แพงเมื่อเที่ยบกับสินค้าจากประเทศอื่น ส่วนสินค้าจีนถูกมองว่าเป็นอีกเกรดนึง นอกจากนี้สื่อต่างๆ ในบ้านเราก็มีอิทธิพลต่อลูกค้ากลุ่มนี้มากพอสมควร หากท่านวางแผนที่จะจับตลาดใหญ่ขึ้นการใช้สื่อเหล่านี้ก็มีประโยชน์ต่อสินค้าท่านมากเหลือเกิน
อ่านมาแล้ว 5 ตอน ผมหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านในการปรับตัวรับมือกับ AEC ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้านี้ครับ
#KAL #YESCLUB

#ส่งออก #เทรดดิ้ง #การค้าระหว่างประเทศ #ออนไลน์ #หอการค้า #นำเข้าส่งออก #AEC

AEC กับ SME ไทย ตอนที่ 1 ภาพรวมและผลกระทบ

http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/aec-sme-1.html

AEC กับ SME ไทย ตอนที่ 2 แต่ละประเทศเตรียมตัวกันอย่างไร (กลุ่มอาเซียนเดิม)

http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/aec-sme-2.html

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

AEC กับ SME ไทย ตอนที่ 4 จะเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย

ประเทศไทยจะมีคนต่างชาติเข้ามาอยู่เต็มไปหมด
ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลาง ประกอบกับลักษณะนิสัยคนไทยที่ไม่ค่อยนิยมออกไปทำมาหากินต่างประเทศ ไกลบ้านไกลเมืองมากนัก ทำให้คาดการณ์ว่าไทย โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ๆ จะมีชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยว อยู่อาศัย และทำธุรกิจกันมากขึ้น (ตอนนี้ก็มีมากขึ้นอยู่แล้ว สังเกตได้จากปัจจุบันนี้ไปห้างไหนหรือเพื่อนบ้านข้างๆ ห้องในคอนโดเราก็มีชาวต่างชาติเยอะแยะเต็มไปหมด)
การที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางบกนี้ จีนพยายามจะใช้ไทยเป็นทางผ่านไปค้าขายยังประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ เพราะการคมนาคมจากไทยไปยังประเทศ CLMV ทางรถนั้นสะดวกสบาย จึงเกิดการลงทุนมหาศาลด้านการสร้างเส้นทางเดินรถ ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ทั้งในจีน เมียนมาร์ ลาว เวียตนาม เชื่อมมาในประเทศไทย จะมีรถยนต์จากหลายประเทศวิ่งเข้ามาในไทยมากขึ้น และที่จะแปลกตาคือรถพวงมาลัยซ้ายจะมาวิ่งชิดซ้ายตามกฏจราจรบ้านเรา
แรงงานต่างชาติย้ายเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น
อันนี้ไม่นับแรงงานในภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีอยู่แล้ว แต่นับรวมถึงแรงงานในการบริการ ไม่ว่าจะเป็นพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล แพทย์ วิศวกร หรือผู้ทำบัญชี (แม้ว่าอาขีพเหล่านี้จะต้องใช้การสอบใบอนุญาตตามหลักเกณฑ์ของไทยเราก็ตาม)
นอกจากนี้ในบริษัทต่างๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับต่างประเทศอาจจะต้องจ้างพนักงานที่เป็นท้องถิ่นของประเทศนั้น เช่น คุณอาจจต้องพนักงานที่พูดภาษาเวียตนามได้ ไว้คอยดูแลตลาดในฝั่งเวียตนาม เป็นต้น
เราจะมีคู่แข่งหลากหลายสัญชาติ
เป็นสิ่งที่ SMEs ไทยเรากลัวมากที่สุด เพราะบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพมากกว่า เงินทุนหนากว่า การบริหารจัดการที่ดีกว่า จะเข้ามาแข่งกับเราในการทำตลาดมากขึ้น
ธุรกิจบางอย่างจะหายไปจากสังคมไทย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำใจครับ เพราะบางอย่างต่างประเทศทำได้ดีกว่าเราจริงๆ ผู้ประกอบการในธุรกิจนั้นๆ ก็ต้องปรับตัวกันไป
เราจะได้เดินทางไปประเทศในอาเซียนมากขึ้น
มีเรื่องตลกอย่างหนึ่งคือสิ่งที่คนไทยสนใจมากที่สุด เมื่อมีการเปิดเสรีอาเซ๊ยน คือการที่ได้ไปเที่ยวในหลายๆ ประเทศได้มากขึ้น ทำไงได้ครับ อะไรที่เป็นความสุขก็ไม่ผิดทั้งนั้น พวกเราก็คิดอย่างนั้นด้วยใช่มั้ยครับ
เมื่อเจออย่างนี้แล้ว SME เราควรจะปรับตัวอย่างไร ผมจะมาเล่าให้ฟังในตอนหน้าเป็นตอนจบนะครับ
#KAL #YESCLUB
#ส่งออก #เทรดดิ้ง #การค้าระหว่างประเทศ #ออนไลน์ #หอการค้า #นำเข้าส่งออก #AEC


AEC กับ SME ไทย ตอนที่ 1 ภาพรวมและผลกระทบ

http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/aec-sme-1.html

AEC กับ SME ไทย ตอนที่ 2 แต่ละประเทศเตรียมตัวกันอย่างไร (กลุ่มอาเซียนเดิม)

http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/aec-sme-2.html

AEC กับ SME ไทย: ตอนที่ 3 แต่ละประเทศเตรียมตัวกันอย่างไร (กลุ่ม CLMV และประเทศไทย)

http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/aec-sme-3-clmv.html

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

AEC กับ SME ไทย: ตอนที่ 3 แต่ละประเทศเตรียมตัวกันอย่างไร (กลุ่ม CLMV และประเทศไทย)


เวียตนาม
เป็นประเทศที่น่าจับตามองมากที่สุดสำหรับไทยเนื่องจากประเทศนี้กำลังท้าทายแข่งกันกับไทยในด้านเศรษฐกิจอยู่ มีสินค้าส่งออกที่คล้ายกับไทยมากไม่ว่าจะเป็นข้าว สินค้าเกษตร เสื้อผ้าสำเร็จรูป  หรือแม้กระทั่งประมง เวียตนามขณะนี้เป็นแหล่งผลิตเสื้อผ้าแทนที่ไทยไปแล้ว และการส่งออกข้าวก็กำลังแข่งขันกับไทยอย่างดุเดือด ส่วนผลไม้นั้นมีบางอย่างที่ดีกว่าไทยเสียอีก ด้านการประมงหรืออุตสาหกรรมหลักยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและการจัดการจากต่างชาติเป็นอันมาก อีกข้อที่น่าสนใจคือเวียตนามมีจำนวนประชากรมากถึง 90 ล้านคน เป็นอันดับสองของอาเซียน ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจในเวียตนามนั้นเติบโตตลอด แต่อาจจะมีช่วง 4 -5 ปีหลังนี้เกิดวิกฤตฟองสบู่ขึ้นมา ซึ่งผมมองว่าเป็นแง่ดีของเค้า เพราะเกิดในช่วงที่ยังไม่โตเต็มที่มาก
เมียนมาร์
จากเดิมที่ถูกทั่วโลกคว่ำบาตรไม่ทำการค้าขายด้วยเนื่องจากปัญหาการเมืองและสิทธิมนุษยชนมาแล้ว เมียนมาร์นั้นทำในสิ่งที่ทุกคนบนโลกนี้คาดไม่ถึงคือการเปิดประเทศ แม้ว่าจะยังใช้ระบอบการปกครองแบบเดิม แต่ไม่มีประเทศไหนสนใจ แม้กระทั่งสหรัฐ ที่เคยคว่ำบาตรก็กลับตาลปัตรเข้าหาเมียนมาร์และพร้อมจะลืมเรื่องในอดีตทันที เนื่องจากเมียนมาร์นั้นมีทรัพยากรมากมายโดยเฉพาะป่าไม้และอัญมณี รวมถึงการค้าขายชายแดนกับไทยนั้น ด้วยภูมิประเทศที่ติดกับหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นไทย จีน อินเดีย หรือลาวนั้น เมียนมาร์ก็ตั้งใจจะทำตัวเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศดังกล่าวอีกด้วย จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาและสร้างถนนหนทางเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว
ลาว
ด้วยภูมิประเทศที่ไม่ติดทะเล แต่มีข้อดีคือติดกับหลายประเทศ จำนวนประชากรมี 4-5 ล้านคน รวมถึงเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะ ลาวประกาศตัวว่าจะเป็นประเทศวัฒนธรรมของอาเซียน ธุรกิจหลักของลาวจะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเป็นหลัก นอกจากนี้ทรัพยากรที่มีมากมาย ลาวสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้ามาขายประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยอีกด้วย ลาวจึงมองว่าตัวเองจะเป็นแบตเตอรี่ของอาเซ๊ยนด้วยอีกหนึ่งตำแหน่ง
กัมพูชา
มีพื้นที่ติดทะเลฝั่งอ่าวไทย มีพื้นที่การเกษตรพอสมควรและมีแรงงานค่าจ้างไม่แพงอยู่มาก ประเทศกัมพูชาจึงตั้งตัวเป็นโรงงานขนาดเล็กสำหรับอาเซ๊ยน หลากหลายธุรกิจไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป หรือเกษตรแปรรูปกำลังเป็นธุรกิจหลักในกัมพูชา นอกจากนั้นแล้วกัมพูชายังมีโบราณสถานที่ติดอันดับโลกอย่างนครวัดนครธม รวมถึงบ่อนกาสิโน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจึงเป็นอีกแหล่งที่กัมพูชาทำรายได้อีกมากมาย
ประเทศไทย
จุดแข็งของประเทศไทยคือความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเกษตรที่มีสินค้ามากมาย ธุรกิจผลิตอาหารที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก งานฝีมือด้านเสื้อผ้าจิวเวลรี่แฟชั่น รวมถึงอุตสาหกรรมหนักอย่างการผลิตรถยนต์ นอกจากนี้ไทยยังมีธุรกิจบริการที่เป็นที่ยอมรับของทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การแพทย์และความงามอีกด้วย อีกจุดแข็งที่ไม่ว่าจะพัฒนายังไงก็ไม่มีใครสู้ได้คือข้อดีในด้านภูมิศาสตร์ ในสายตาต่างชาติประเทศไทยถือเป็นหลักชัยในการเข้าตลาดอาเซียน ด้วยเหตุผลทางด้านภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางติดต่อได้ทุกประเทศ มีเส้นทางคมนาคมที่ดีและเชื่อมต่อหลายประเทศ พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่โตมาระดับหนึ่งแล้ว รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมาะแก่การค้าขาย
ในตอนหน้าผมจะมาเล่าว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างในประเทศไทย เมื่อ AEC เริ่มต้นนะครับ
#KAL #YESCLUB

#ส่งออก #เทรดดิ้ง #การค้าระหว่างประเทศ #ออนไลน์ #หอการค้า #นำเข้าส่งออก #AEC

AEC กับ SME ไทย ตอนที่ 1 ภาพรวมและผลกระทบ

http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/aec-sme-1.html

AEC กับ SME ไทย ตอนที่ 2 แต่ละประเทศเตรียมตัวกันอย่างไร (กลุ่มอาเซียนเดิม)

http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/aec-sme-2.html

ธุรกิจส่วนตัวใครว่าง่าย

ธุรกิจส่วนตัวใครว่าง่าย

หลังจากตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจแล้ว ช่วงเตรียมตัวเรียกได้ว่าเป็นช่วง Honeymoon period เลยละหรือว่าเป็นช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ว่าได้ เพราะว่าเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยความฝัน ได้ทำสิ่งที่อยากทำพร้อมเป้าหมายที่สวยหรูและแผนงานที่เตรียมมาไว้ก่อนจะเริ่มลงมือทำ ถึงตอนเตรียมตัวนั้นจะมีปัญหาเข้ามาถาโถมเยอะมากแต่กำลังใจหลายๆคนยังดีมากๆอยู่แน่นอน ก็ใช่น่ะสิ ธุรกิจของเรา ฝันของเรา เราคิดมันมานานวันนี้ถึงวันที่คุณได้ทำแล้ว มันไม่มีอะไรจะสุขกว่านี้อีกแล้ว

เมื่อเตรียมตัวเสร็จหมดแล้ว ทีนี้ เอาล่ะ เตรียมตัวเสร็จแล้ว จะรออะไร ได้เวลาเริ่มธุรกิจเราแล้ว ในที่สุด moment of truth ก็มาถึง ช่วงแรกๆนั้นบางคนอาจจะคิดไปไกลว่าธุรกิจเราไปได้จริง ยอดขายดีกว่าเป้าที่คิดไว้อีก เลยคิดต่อไปไกลอีกว่าถ้าทำได้แล้วโตไปเรื่อยๆ ธุรกิจเราจะถึงฝั่งฝันจะถึงดาวแน่ๆและไม่นานก็จะรวยเป็นเศรษฐีพันล้าน จะขยายร้านต่อจะกู้เงินมาทำจะเริ่มจ้างคนมาช่วยทำ บลาๆๆๆ

บางคนอาจจะทำได้จริงๆแต่ผมที่เคยเห็นมาแรกๆจะแรงหน่อยแล้วค่อยๆแผ่วลงเรื่อยๆ เพราะตอนเริ่มอาจจะเริ่มมีเพื่อนๆ ญาติๆมาช่วยอุดหนุนกันบ้าง ทำให้ธุรกิจเราคึกคักนิดหน่อย พอหมดช่วงนี้ เราจะเจอของจริงแล้ว ของจริงที่เราจะต้องหาลูกค้าเองให้ได้และต้องต่อยอดธุรกิจไปให้ได้ เราต้องหาลูกค้าที่เค้าต้องการสินค้าเราจริงๆแล้ว และบางทีในกรณีที่ขายดีก็จะมีคนเข้ามาขายของแบบเดียวกับเรา ในราคาที่ต่ำกว่าเรา หรือต่อยอดไปไกลกว่าเราแบบเร็วมาก ในบางกรณีบางคนเปิดได้แค่สองสามเดือนก็ต้องปิดตัวลงไปเพราะว่ายอดขายไม่ดีอย่างที่เคยอีกแล้ว หลายคนต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ เริ่มหาลูกค้าใหม่ เริ่มทำตลาดใหม่ หรือแม้กระทั่วผสมปนเปเอาของหลายๆอย่างเข้ามาผสมกับธุรกิจเราไปซะหมด

รู้สึกท้อใช่มั้ยครับ รู้สึกแย่ใช่มั้ยครับ อยากเลิกใช่มั้ยครับ งั้นกลับไปมองจุดเริ่มต้นที่เรามีความสุขครับ ต้นทางเรามีความสุขยังไงตอนนี้ลองนึกกลับไปตอนนั้นครับ ลองตั้งโจทย์ใหม่ ตีปัญหาให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจเรา ค่อยๆคิดตอนนี้ต้องใช้ความคิดแล้วก็สติเยอะๆครับ ลองนั่งคิดวิเคราะห์ถึงปัญหาทั้งหมดดีๆ กลยุทธ์บางอย่างต้องใช้เวลาถึงจะเห็นผล ลองมานั่งดูปัจจัยและเหตุผลที่ทำให้คนเข้าร้านเราน้อยลง หรือว่าซื้อของเราน้อยลง ว่าเป็นเพราะเค้าไม่เห็นเรา ไม่รู้จักเรา รู้จักเราแต่ไม่ซื้อ ซื้อของเราครั้งเดียวแล้วไม่มาซื้ออีก หรือซื้อหลายรอบแต่ยังไม่ใช่เจ้าประจำ หรือจำนวนคนเข้าน้อย หลายๆเหตุผลเราต้องแยกให้ออกดีๆใช้เหตุผลให้มากที่สุด เราลองดูกลยุทธ์ธุรกิจที่ทำคล้ายๆกับเรา หรือว่าลองคุยกับเพื่อนๆคุยกับคนรู้จัก บางทีเราอาจจะมองมุมของเรามากเกินไป ลองถามเพื่อนๆ ลองตอบข้อโต้แย้งต่างๆ บางทีในบางจุดที่เราตอบข้อโต้แย้งไม่ได้ อาจจะหมายความว่ามันอาจจะไม่ดีจริงๆก็ได้ ก็เก็บเป็นการบ้านไปแก้ไขต่อไป แต่ยังไงก็แล้วแต่ ต้องมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำในระดับนึงและค่อยๆปรับไป จุดนี้เป็นจุดที่ยากมากๆที่สุดจุดนึง หากคุณสามารถผ่านมันไปได้และเรียนรู้วิธีที่จะเอาชนะมันได้โดยไม่ต้องอาศัยยอดขายจากคนใกล้ชิดเมื่อไร คุณจะมั่นใจได้เลยว่าคุณทำได้แน่นอนครับ และอย่าลืมนึกถึงจังหวะที่คุณเริ่มขายของได้เงินบาทแรกได้นะครับว่ามันหอมหวานแค่ไหน สู้ๆครับ ใครมีประสบการณ์แบบไหนลองมาแชร์กันมั่งนะครับ

Mr.N

#Yessclub #ทำธุรกิจ #ล้มเหลว #เริ่มต้นธุรกิจ
=============================================
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

พบกับเคล็ดลับดีๆจาก Richard Branson เจ้าพ่อธุรกิจระดับโลก กับบทความ 5 เคล็ดลับในการเริ่มธุรกิจแล้วไม่เจ๊ง จาก Richard Branson http://goo.gl/0lVH7b

ธุรกิจจะดีต้องมีภูมิคุ้มกันดีๆ บทความนี้จะช่วยเจ้าของธุรกิจทุกคนได้ วัคซีนจากความล้มเหลว http://goo.gl/ChuYI8

วิเคราะห์โมเดลธุรกิจของคุณดูซิว่าปัญหาที่คุณเจอคืออะไร กับBusiness Model Canvas - โมเดลธุรกิจ เปลี่ยนโลก !!http://goo.gl/uqV72x




วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

AEC กับ SME ไทย ตอนที่ 1 ภาพรวมและผลกระทบ



ผมขอเขียนเรื่องเกี่ยวกับ AEC และผลกระทบต่อ SME ของไทยบ้างนะครับ เข้าใจว่าผู้อ่านคงเคยฟังข้อมูลกันมามากแล้ว แต่ผมจะขอเขียนในมุมของ SME ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ต้องเป็นทางการมาก
AEC คืออะไร
AEC คือการรวมกลุ่มกันทางด้านเศรษฐกิจเฉพาะประเทศกลุ่มอาเซียน คล้ายๆ กับการจัดตั้งประชาคมยุโรปหรือยูโร ความร่วมมือนี้มีหลายด้าน แต่หลักๆ คือการค้าขายที่ภาษีนำเข้าส่งออกระหว่างกันจะเป็นศูนย์เกือบทุกรายการ ส่วนด้านวิชาชีพก็มีการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรี เลิกบังคับให้คนเก่งๆ มีเวทีเฉพาะในประเทศ
แล้ว AEC เกี่ยวข้องกับไทยอย่างไร
ประเทศกลุ่มอาเซียนแบ่งเป็นสองกลุ่มหลักๆ คือ 6 ประเทศอาเซ๊ยนเดิม ได้แก่ อินโดนีเซ๊ย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์และไทย และกลุ่มประเทศอาเซียนน้องใหม่ (CLMV) ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์และเวียตนาม การเปิดประชาคมอาเซ๊ยนในปี 2015 นี้ จะเน้นหลักๆ ไปที่ กลุ่มหลังมากกว่า เนื่องจาก 6 ประเทศแรกนั้น มีการเปิดเสรีด้านการค้ากันมานานแล้ว (เช่นตอนนี้เราส่งสินค้าไปมาเลเซียไม่เสียภาษีนำเข้า) ส่วนกลุ่มหลังๆ นี้แม้จะเป็นประเทศเล็กๆ ที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มและขนาดยังไม่ใหญ่มาก แต่กลับได้รับความสนใจมาก โดยเฉพาะจีน จากเหตุผลด้านชายแดนที่มีพื้นที่ติดกันอีกด้วย
ทำไม AEC จึงน่าสนใจและเป็นที่จับตาในกระแสโลก
เหตุผลแรกคือจำนวนประชากรที่มีประมาณ 600 ล้านคน จากประชากรทั้งโลก 6 พันล้านคน คือเป็นหนึ่งในสิบของประชากรทั่วโลก บวกกับเกือบทั้ง 10 ประเทศนี้ เหตุผลถัดมาคือเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตเป็นขุมทองแห่งใหม่ของนักลงทุนทั่วโลก และเหตุผลสุดท้ายเป็นเรื่องทรัพยากรที่ยังมีเหลืออีกมากไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ เกษตร หรือน้ำมัน
ใครบ้างที่จะมีบทบาทในอาเซียน
แทบทุกประเทศที่มีความสนใจในตลาดนี้ไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจในเอเชียอย่าง จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรืออีกฝั่งทางอินเดีย แม้กระทั่ง บ้านใกล้แต่คนละทวีปอย่างออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ส่วนกลุ่มที่สองก็คือไกลออกไปจากเราได้แก่ ประเทศในกลุ่มยุโรปและสหรัฐอเมริกา ที่พยายามจะมีบทบาทกับภูมิภาคนี้ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง
ข้อดีข้อเสียของไทยต่อการรวมกลุ่มกัน
ข้อดีคือในเมื่อสินค้าสามารถเคลื่อนย้ายไปอีก 10 ประเทศได้อย่างเสรี ลูกค้าเราจาก 60 ล้านคนก็ขยายอีกสิบเท่าเป็น 600 ล้านคนโดยทันที เหมือนเรายกระดับขยายประเทศเราโดยไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ข้อเสียก็คือในเมื่อตลาดใหญ่ขึ้น คู่แข่งก็มากขึ้นตามลำดับนั่นเอง
ในตอนหน้าผมจะมาเล่าว่าแต่ละประเทศมีดีอะไรและเตรียมตัวกันอย่างไรนะครับ
‪#‎KAL‬ ‪#‎YESCLUB‬
‪#‎ส่งออก‬ ‪#‎เทรดดิ้ง‬ ‪#‎การค้าระหว่างประเทศ‬ ‪#‎ออนไลน์‬ ‪#‎หอการค้า‬ ‪#‎นำเข้าส่งออก‬ ‪#‎AEC‬

AEC กับ SME ไทย ตอนที่ 2 แต่ละประเทศเตรียมตัวกันอย่างไร (กลุ่มอาเซียนเดิม)


วันนี้ขอเจาะในรายประเทศของแต่ละอาเซียนว่าแต่ละประเทศเตรียมตัวกันอย่างไรและมีจุดแข็งอะไรบ้างนะครับ
สิงคโปร์
เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซ๊ยน แม้ขนาดประเทศจะเล็กมาก เป็นประเทศเทรดดิ้งโดยธรรมชาติ มีศักยภาพในการค้าระหว่างประเทศเนื่องจากเป็นศูนย์กลางการเดินเรือ ลอจิสติกส์ และการบริการทางการเงินที่ครบวงจร ผมได้เคยคุยกับชาวสิงคโปร์ได้พบว่าประเทศเค้ามีความพร้อมในเรื่อง AEC และเตรียมตัวมานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการ จัดหารสินค้า (Sourcing) บริการทางการเงิน (Financial Service) และการบริหารโลจิสติกส์ (Logistics) และจะขอเป็นศูนย์กลางจากการค้าเชื่อมต่อกับคนนอกอาเซียนอีกด้วย
มาเลเซีย
ก็เป็นอีกเสือที่ขยับตัวได้น่ากลัวมาก มาเลเซียนั้นเคยเป็นคู่แข่งที่สำคัญทางเศรษฐกิจกับไทย แต่ตอนนี้เริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแผนการพัฒนาของมาเลเซียนั้นชัดเจนเป็นขั้นตอนและทำอย่างต่อเนื่อง มากกว่าไทย มาเลเซียมีกลยุทธ์ที่ต้องการจะเน้นเฉพาะด้าน ก่อนหน้านี้มาเลเซียเคยปลูกยางพาราแข่งกับไทย แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน โค่นต้นยางพาราทิ้งและปลูกปาล์มน้ำมันแทน จนตอนนี้กลายเป็นผู้นำด้านปาล์มน้ำมันของโลก นอกจากนี้มาเลเซียยังอาศัยความเป็นประเทศมุสลิมประกาศตัวว่าจะเป็นเบอร์ หนึ่งด้านอาหารฮาลาลโดยเฉพาะ vision คือถ้าทั่วโลกต้องการอาหารฮาลาลต้องมาหาที่มาเลเซียเท่านั้น
อินโดนีเซีย
เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซ๊ยน และเป็นหนึ่งในประเทศที่คนทั่วโลกจับตามากที่สุด เนื่องจากมีทั้งพื้นที่กว้างขวาง จำนวนประชากรและทรัพยากรมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ ผลไม้ และที่สำคัญคือน้ำมัน อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในกลุ่มสมาชิกค้าน้ำมัน หรือ OPEC นั่นเอง เศรษฐกิจหลักของอินโดนีเซียพึ่งพาการส่งออกสินค้าเหล่านี้ แต่เมื่อมองเข้าไปลึกๆ แล้วอินโดนีเซ๊ยยังขาดศักยภาพหลายๆ ด้านที่จำเป็นแม้ตัวเองจะมีทรัพยากรอยู่ในมือล้นเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการผลิตอาหารที่ไม่ถูกใจและไม่เพียงพอต่อความต้องการใน ประเทศ อินโดนีเซียนั้นเน้นไปที่การส่งออกสินค้าที่เป็นกลุ่มเกษตรและเกษตรแปรรูป
ฟิลิปปินส์
ถือว่าอยู่ไกลจากกลุ่มเพื่อนที่สุด ภูมิประเทศเป็นเกาะ และเป็นประเทศเดียวที่นับถือศาสนาคริสต์มากที่สุด ประเทศฟิลิปปินส์ค่อนข้างจะมีวัฒนธรรมออกไปทางตะวันตก ประชากรในประเทศพูดภาษาอังกฤษและสเปนได้ค่อนข้างดี ประเทศนี้เป็นแหล่งส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศและส่งเงินกลับมาให้ครอบครัว ส่วนโครงสร้างธุรกิจของฟิลิปปินส์นั้นเน้นเรื่องการบริการโดยมีภาษาอังกฤษ เป็นพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นการบริการคอลเซ็นเตอร์ระดับโลก ที่รับงานมาจากบริษัทระดับโลกที่อยู่ในอเมริกา (เหมือนอินเดีย) นอกจากนี้ยังมีการบริการด้านการแพทย์และพยาบาลอีก คาดว่าเมื่อเปิด AEC แล้วแรงงานด้านนี้จะเข้ามาทำงานในหลายประเทศอีกด้วย
บรูไน
เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในอาเซ๊ยน ประชากรน้อยที่สุด แต่รายได้ต่อหัวมากที่สุด เนื่องจากมีแหล่งน้ำมันที่มีอยู่มาก ประชากรแทบไม่ต้องทำงานเพราะมีรัฐช่วยสนับสนุนอยู่แล้ว ถือว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจมากๆ แต่เนื่องด้วยจำนวนประชากรมีน้อย ประเทศบรูไนจึงไม่ค่อยได้รับความสนใจจากหลายประเทศมากเท่าที่ควร แต่ในมุมกลับกัน ผมคิดว่าประเทศนี้หากทำตลาดดี เราก็จะได้ตลาดไปครอบครองได้เนื่องจากคู่แข่งมีไม่มาก
ในตอนหน้าจะมาเล่าต่อเกี่ยวกับกลุ่มประเทศที่เหลือรวมถึงประเทศไทยครับ
‪#‎KAL‬ ‪#‎YESCLUB‬
‪#‎ส่งออก‬ ‪#‎เทรดดิ้ง‬ ‪#‎การค้าระหว่างประเทศ‬ ‪#‎ออนไลน์‬ ‪#‎หอการค้า‬ ‪#‎นำเข้าส่งออก‬ ‪#‎AEC‬

วิเคราะห์ธุรกิจด้วยสามเหลี่ยมมหัศจรรย์!!



วิเคราะห์ธุรกิจด้วยสามเหลี่ยมมหัศจรรย์!!

สำหรับคนที่มีธุรกิจส่วนตัว ระหว่างทางเราอาจจะเจอปัญหา 108 ซึ่งเราก็รู้วิธีแก้บ้าง ไม่รู้บ้าง งมเข็มกันหาไปเรื่อยบ้างก็มี แล้วยิ่งสำหรับธุรกิจ SME เล็กๆที่ไม่มีตัวช่วยเยอะ บางทีเราอยู่ในปัญหาและมองไม่ออกว่าจะเริ่มจากไหนดี ผมเลยอยากเอาโมเดลง่ายๆมาทำความเข้าใจปัญหาของธุรกิจของเรา


หากแบ่งปัญหาของธุรกิจออกเป็นขั้นบันไดจะพบว่า ปัญหาแต่ละช่วงมีทางแก้และต้นเหตุของปัญหาต่างกัน คนทำธุรกิจอาจจะขายได้ไม่ดี ไม่ใช่เพราะว่าสินค้าคุณไม่ดี จริงๆสินค้าคุณอาจจะดีแต่ไม่มีใครเคยมาลองใช้ดูต่างหาก


ผมจะลองแบ่งปัญหาของธุรกิจออกเป็น 5 ชั้นดังนี้ครับ

1. ชั้นแรกคือสินค้าและธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักดีแล้วหรือไม่ ประเด็นนี้สำคัญมากๆ หลายคนไม่รู้ต้นเหตุของปัญหา ด้วยยอดขายที่น้อยก็ไปปรับสินค้าที่หลายๆทีสินค้าหรือบริษัทก็ดีอยู่แล้วไปปรับแล้วปรับอีก ยอดขายก็ยังไม่กระเตื้องซักที หากคุณเจอปัญหานี้ให้ลองหาวิธีโปรโมตสินค้าให้คนรู้จักก่อน หากคุณทำธุรกิจที่ใช้สื่อออนไลน์ มันมีวิธีจะวัดได้ง่ายๆรวมถึงวิธีที่จะใช้โปรโมต เพราะหากคุณทำตลาดผ่าน facebook หรือ google คุณสามารถวิเคราะห์ถึงความรู้จักสินค้าหรือร้านค้าคุณได้อย่างง่ายๆ แต่ถ้าไม่ใช่หากคุณแค่เปิดร้าน ให้ลองสังเกตคนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่ามีเยอะมากน้อยแค่ไหน ลองคุยกับกลุ่มเป้าหมายของคุณว่า ทุกๆคนนั้นรู้จักยี่ห้อหรือร้านของคุณดีแค่ไหน หากคำตอบคือว่าไม่ค่อยรู้จัก คุณควรจะทำสินค้าและร้านค้าของคุณให้เป็นที่รู้จักได้แล้ว



2. ชั้นที่สองคือความสนใจของสินค้า อันนี้เกี่ยวกับการ display และ packaging รวมถึงชื่อ brand และประโยชน์ต่างๆของ brand ของคุณด้วย เพราะคนรู้จักคุณแล้วแต่พวกเค้าไม่สนใจในสินค้าของคุณ สิ่งที่คุณควรจะทำคือ เรียนรู้ปัญหาว่าทำไมเค้ารู้จักแต่ไม่สนใจสินค้าของคุณ คุณอาจจะตั้งกลุ่มเป้าหมายผิด สินค้ากับกลุ่มเป้าหมายอาจไม่ตอบโจทย์กัน หรือว่ากลุ่มเป้าหมายอาจจะถูกแล้วแต่คุณนำเสนอรายละเอียดต่างๆไม่เหมาะกับกลุ่ม ดังนั้น คุณต้องหาวิธีนำเสนอให้คนที่รู้จักสินค้าหรือร้านค้าของคุณสนใจให้ได้



3. ชั้นที่สามคือการซื้อสินค้า คนทั่วไปรู้จักสินค้าคุณ เดินผ่านร้านค้าคุณ และสนใจที่จะหยิบมันขึ้นมาดูเปรียบเทียบกับสินค้าอื่นๆร้านค้าอื่นๆ แต่เค้าไม่ซื้อของคุณ นั่นแปลว่า สินค้าของคุณอาจจะด้อยกว่าของคนอื่น อาจจะแพงกว่า อาจจะน่าสนใจน้อยกว่า หรือสินค้าของเราอาจจะไม่มีความแตกต่างมากพอ สิ่งที่คุณต้องทำนั้นคือ แก้ที่ตัวสินค้า หรือราคา บางที value ของสินค้าของคุณอาจจะไม่มีมากพอ ดังนั้นต้องเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้าของคุณ (อาจจะไม่ต้องลดราคา แต่ให้สิ่งที่มากกว่าเข้าไปแทน)



4. ชั้นที่สี่คือการซื้อซ้ำ ลูกค้าเจอสินค้าเราเจอร้านเรา เปรียบเทียบกับร้านอื่นไปแล้ว และทำการซื้อไป เหมือนจะดีแล้วอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำคือกลับมาซื้อซ้ำ เพราะหากไม่กลับมาซื้อซ้ำแล้วคุณจะต้องเสียค่าการตลาดที่แพงมากๆในการหาลูกค้าใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา และปัญหาโดยตรงคือสินค้าที่ซื้อไป ไม่ตอบโจทย์ ไม่เหมือน package ที่เห็น ไม่เหมือนโฆษณาที่ดู ไม่เหมือน สิ่งที่คาดหวังไว้ตอนแรก คุณจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับปรุงอย่างรวดเร็ว ไม่งั้นลูกค้าที่ได้ลองซื้อสินค้าคุณไปและไม่กลับมาซื้อซ้ำ ระยะยาวจะมีปัญหาแน่ๆ



5. ชั้นสุดท้ายคือการแนะนำให้คนอื่นมาซื้อสินค้าคุณ ข้อนี้คือที่สุดสำหรับกลยุทธ์ ทำยังไงให้คนที่มาซื้อของๆเรา กลับมาซื้อซ้ำ ไม่พอยังแนะนำเพื่อน แนะนำคนรู้จัก แนะนำครอบครัวมาซื้อของเราอีก นี่คือสิ่งที่สำคัญมากๆ หากคุณต้องการอยู่ได้ในระยะยาว คุณต้องสร้างความพอใจให้ลูกค้าขั้นสุด จนเค้ามั่นใจและยอมเอาคอพาดเขียงเพื่อแนะนำสินค้าและบริการของคุณให้คนรอบๆตัวได้รู้จักครับ



มองย้อนกลับมาที่ธุรกิจคุณ ตอนนี้ธุรกิจคุณติดปัญหาอยู่ที่ชั้นไหนกันครับ ลองมาแชร์กันดูก็ได้ครับ เผื่อช่วยกันคิดหาทางออกที่ดีๆได้ครับ



Mr.N



#yesclub #กลยุทธ์ธุรกิจ #ปัญหาธุรกิจ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับคนที่ชอบอ่านบทความดีๆเกี่ยวกับการทำธุรกิจ สามารถติดตามพวกเรา yesclub ได้ที่ https://www.facebook.com/yesclubbusiness



และสำหรับบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันนั้นสามารถติดตามได้เช่นกันครับ



***5 เหตุผล ที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ ไปไม่รอด  

http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/5.html


***คุณบริหารกิจการของคุณอย่างไร
http://www.yesclubbusiness.com/2014/09/blog-post_17.html


วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จับเล็กให้ได้ใหญ่


จับเล็กให้ได้ใหญ่



เคยมั้ยครับที่เรามองดูอะไรที่เล็กๆน้อยๆกระจัดกระจายดูเหมือนไม่มีอะไรแล้วเราก็มองผ่านมันไป ลองคิดดูว่าถ้าคุณเจอฝูงมดใหญ่ๆคุณจะยังรู้สึกมันเล็กๆมั้ย คนเล็กๆคนหนึ่ง เวลารวมอยู่ด้วยกันอยู่มากๆก็จะกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่และมีพลังขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ


ผมอยากแนะนำกลยุทธ์อย่างหนึ่งคือ Micro marketing, ซึ่งบอกแบบนี้มาหลายคนก็คงงงๆว่าคืออะไร จริงๆก็คือพวกๆเรานั่นแหล่ะ การตลาดที่ขายของให้พวกเราๆกันเองนี่แหล่ะ จะพูดง่ายๆก็คือกลุ่ม Mass หรือกลุ่มรายย่อยแบบเลยก็ว่าได้ ซึ่งโดยปกติทุกประเทศกลุ่มคนฐานใหญ่สุดจะเป็นกลุ่มคนที่รายได้น้อยที่สุด และมีจำนวนมากที่สุดถ้าเทียบกับคนที่มีรายได้สูงๆ ซึ่งคนมีรายได้สูงๆของประเทศๆหนึ่งอาจจะมีเพียง 5-10% เองก็ได้ ในไทยก็เช่นกันกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดก็คือกลุ่มนี้


หากจะทำการตลาดไปยังรายใหญ่ๆนั้นแน่นอนว่ารายได้แต่ละก้อนนั้นจะได้รายได้ก้อนโตมาแน่ๆ แบบว่ารายได้เข้ามาทีรวยเลย แต่ข้อเสียก็คือรายใหญ่นั้นจะ Demanding มากๆ ขอเยอะๆ แต่ราคาน้อยๆ ยิ่งมี power มากเท่าไรก็จะยิ่งบีบเราเท่านั้น นอกจากนี้ เรายังต้องดูแลเค้ามากๆด้วยเพราะว่าถ้าลุกค้ารายใหญ่เหล่านี้ตีจากเราไป แน่นอนบางรายถึงกับเลิกกิจการกันเลยก็มี


ดังนั้นอีกกลุ่มนึงที่อยู่ตรงข้ามกันคือกลุ่ม Mass ซึ่งเน้นเอาลูกค้าเยอะๆเข้าไว้ ได้กำไรรายละนิดรายละหน่อยแต่สามารถบริหาร portfolio ลูกค้าง่ายมาก ถึงแม้ลูกค้าจะหายไปบ้างแต่ก็จะไม่กระทบกับยอดรวมเท่าไร ข้อเสียคือบริหารกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ยากมากแต่ถ้าหาทางบริหารได้ละก็เม็ดเงินมหาศาลแน่ๆ ตอนนี้บริษัทใหญ่ๆหลายๆอุตสาหกรรม พยายามจะเจาะกลุ่มรายย่อยให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธนาคาร โทรคมนาคม และธุรกิจออนไลน์ต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย


ผมขอตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆเลยคือ facebook ที่เราเล่นๆกันอยู่นี่แหล่ะ คนเล่นอะฟรี ใครๆก็เล่นได้ฟรี และยิ่งเล่นมากชวนเพื่อนมามากๆยิ่งดีเลยล่ะ เพราะว่าจะสร้าง database ขนาดใหญ่มโหฬารขึ้นมา แต่ facebook ไม่ใช่องค์กรการกุศลที่ทำฟรีๆ เงินต้องจ้างพนักงาน และทุกคนต้องกินต้องอยู่กัน และธุรกิจของ facebook นั้นก็เน้นกลุ่ม mass เลยล่ะ ธุรกิจหลักของ facebook คือโฆษณานั่นเอง และก็โฆษณาสำหรับรายย่อยอย่างเรานี่เอง facebook อนุญาตให้คนที่มี page ทุกๆเพจสามารถโฆษณาขั้นต่ำได้ด้วยเงินเพียง 30 บาทเท่านั้น!! ถูกกว่ากาแฟหน้าปากซอยอีก เทียบกันถ้าเราจะไปทำโฆษณาโทรทัศน์ เราต้องกำเงินหลักหลายๆหมื่น หรือหลายๆแสนไปให้กับทางบริษัทสื่อ (กรณีที่มีโฆษณาอยู่แล้วนะ) แล้วก็ต้องไปเลือกช่วงเวลาที่จะออกอากาศ อยู่ๆจะเข้าไปบอกว่า ขอโฆษณา 5 วิ แค่ช็อตเดียว เค้าคงไม่ให้นะครับ แต่ facebook ทำได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า facebook เปิดโอกาสให้ทุกๆคนสามารถทำโฆษณาและการตลาดบนสื่อของ facebook ได้และนั่นทำให้ facebook มีรายได้อย่างมหาศาลทีเดียว น่าสนใจมั้ยละครับ นอกจาก facebook แล้วยังมีอีกหลายๆบริษัทที่ทำตลาด micro marketing แบบนี้


ปัญหาเดียวที่ต้องทำคือจะจัดการกับลูกค้าที่มากมายขนาดนี้ได้อย่างไรให้ไม่ต้องปวดหัว (ซึ่งธุรกิจที่ใช้ platform ของ technology สามารถบริหารได้ง่ายกว่า facebook, google, amazon, etc) ซึ่งหากคุณจัดการได้ผมเชื่อว่าจะมีตลาดใหญ่ๆอีกมหาศาลที่คุณสามารถจะเจาะทำตลาดเพิ่มเติมได้ครับ วันนี้คุณจับเล็กหรือจับใหญ่ครับ



Mr.N



--------------------------------------------------------------------------
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจ

สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่แล้วทำไมถึงไปไม่รอด บทความดีๆที่จะบอกเหตุผลทำไมผู้ประกอบการหน้าให่ไปไม่รอด :

5 เหตุผล ที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ ไปไม่รอด http://goo.gl/3ydx03


โมเดลธุรกิจของคุณเป็นอย่างไร ลองใช้ Business Model Canvas ดูซิว่าจะตอบโจทย์ลูกค้าได้แบบไหนและ value อยู่ตรงไหน :Business Model Canvas - โมเดลธุรกิจ เปลี่ยนโลก !! http://goo.gl/n7eWRa


วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เลือกกองทุน LTF อย่างไรดี



เลือกกองทุน LTF อย่างไรดี


ต่อจากครั้งก่อนเลย หลายๆคนอาจจะตัดสินใจแล้วว่าต้องการซื้อ LTF เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี อาจจะรู้แล้วต้องซื้อมากน้อยแค่ไหน แต่คำถามสำคัญแล้วจะเลือกกองทุน LTF กองไหนดี มีวิธีเลือกยังไงบ้าง ผมเลยเอาวิธีเลือกแบบไม่ยากมาฝากกันครับ

1. กำไรในอดีต/ผลงานในอดีต: 

อันนี้สำคัญมาก เทียบย้อนหลังไป 1 ปี 3 ปี 5ปี 7ปี ดูซิว่ากองนี้ทำกำไรเฉลี่ยแต่ละปีมากน้อยแค่ไหน เพราะนอกจากเราจะลดหย่อนภาษีแล้ว โบนัสที่จะได้จากการลงทุนใน LTF หรือกองทุนหุ้นนั้นคือเงินเราต้องเติบโตด้วย ผมเคยเจอเพื่อนคนนึง ซื้อ LTF ไป 100,000 ได้ลดหย่อนฐานภาษีที่ 30% เท่ากับว่าได้ลดหย่อนไปถึง 30,000 บาท แต่ตอนขายคืน มูลค่าของ LTF กองนั้นจากมูลค่า 1แสนเหลือเพียง 8หมื่นบาทเท่านั้น เท่ากับว่าว่า 5 ปีที่ถือมา ได้ประโยชน์ 1หมื่นบาท เฉลี่ย 5 ปี ปีละ 2พันบาท หรือปีละ 2% เท่านั้นเอง (พอๆกับฝากแบงค์เลย)


2.นโยบายการลงทุน: 

มีผลเกี่ยวเนื่องกับข้อ 1 อย่างชัดเจน หากคุณเข้าไปดูรายละเอียดหรือหนังสือชี้ชวนถึงนโยบายการลงทุนคุณจะรู้ว่ากอง LTF นี้ลงในหุ้นกี่ % สัดส่วนเท่าไร แล้วเงินที่ลงในหุ้นนั้นจะไปลงอุตสาหกรรมไหนบ้าง หุ้นตัวไหนบ้าง สมมติว่ากองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเยอะถึง 70% แต่คุณลองวิเคราะห์เองแล้วว่ากลุ่มพลังงานคุณไม่ชอบและไม่คิดว่าจะโต คุณอาจลองพิจรณา LTF กองอื่นดูเพื่อเปรียบเทียบก็ได้

3.ผู้จัดการกองทุน/บริษัทหลักทรัพย์: 

ต่อเนื่องมาที่ผู้จัดการกองทุนหรือบริษัทหลักทรัพย์ ตัวบุคคลอาจไม่มีผลมากกับกองทุนใหญ่ๆ แต่สิ่งที่ต้องดูเพิ่มเติมคือว่าผู้จัดการกองทุนคนนี้ทีมงานนี้ผลงานเป็นยังไงบ้าง บริหารกองทุนกี่กองแล้วแล้วแต่ละกองผลงานเป็นอย่างไร รวมถึงกลยุทธ์แนวทางของผู้จัดการกองทุนนี้ด้วย นอกจากนี้ต้องดูด้วยว่าในแต่ละบริษัทหลักทรัพย์เจ้าของกองทุน มีทีมวิจัยข้อมูลมากน้อยแค่ไหนเพราะว่าส่วนนี้ก็สำคัญในการนำข้อมูลไปเสนอให้กับผู้จัดการกองทุนเพื่อตัดสินใจการลงทุนต่างๆด้วย

4.ความน่าเชื่อถือและมั่นคงของบริษัทหลักทรัพย์: 

กองทุนหรือบริษัทหลักทรัพย์ที่มั่นคงจะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้มากกว่าว่าหากเกิดอะไรขึ้นบริษัทจะยังคงอยู่และเงินเราจะปลอดภัย

5.ค่า fee ต่างๆ ค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย และค่าใช้จ่ายของผู้จัดการกองทุน: 

บางกองทุนจะหัก % ในการซื้อและ/หรือขาย ในการซื้อกองทุน แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นตอนขายตอนซื้อส่วนใหญ่จะฟรีครับต้องลองเปรียบเทียบกันดูหลายๆที่ และนอกจากนี้ค่าบริหารกองทุนซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนที่ดูเหมือนน้อยแต่ก็ไม่น้อยเพราะบางกองนั้นอาจจะคิดค่าบริหารกองทุนประมาณ 2% ต่อปีโดยไม่เกี่ยวกับว่าจะบริหารกองทุนขาดทุนหรือกำไรเราจะยังต้องเสียค่าบริหารกองตรงนั้นด้วย

6.ขนาดกองทุน: 

ไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไรนะครับ สำหรับผมเองไม่ค่อยได้ใช้ส่วนนี้ในการดูเลย

7.เพื่อน คนรู้จัก: 

ซื้อตามๆกัน อันนี้แล้วแต่ความชอบละกันครับ 55

หวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับทุกๆคนนะครับ เลือกกองทุนที่ดีที่เหมาะสมกับเรา เงินของเรา การลงทุนของเรา และเตือนสติไว้เสมอนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ มีกำไรได้และมีขาดทุนได้ครับ

Mr.N

-----------------------------------------------------------------------------------------------
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นกับ LTF / RMF เข้าไปดูเบสิคกันได้ก่อนเลยกับบทความ เรามารู้จัก LTF และ RMF กันครับที่นี่ ->http://goo.gl/HMdDN3


สำหรับคนที่ยังไม่มีพอร์ตหุ้นไว้ซื้อขายลงทุน ลองอ่านวิธีเปิดพอร์ตหุ้นได้ที่นี่- http://goo.gl/0WtG99

เล่นหุ้นออนไลน์ต้องทำอย่างไรบ้าง มาเริ่มเล่นหุ้นออนไลน์กัน http://goo.gl/iZUYv3

เปิดพอร์ตก็แล้วลงทุนก็แล้ว แล้วอย่าลืมตั้งเป้าหมายการลงทุนล่ะ เป้าหมายการลงทุน http://goo.gl/tuPqQa

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ภาษากับการส่งออก


สาเหตุหลักที่คนไทยไม่นิยมทำธุรกิจกับต่างชาติคือการใช้ภาษาต่างประเทศ เนื่องจากประเทศเรามีวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์มีความภาคภูมิใจเป็นของตัวเอง เช่นเดียวกับญี่ปุ่นและจีน รวมถึงเราเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากร คนไทยหากินในเมืองไทยก็เพียงพอไม่ต้องดิ้นรนออกไปแสวงหาในต่างแดน จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องราวของต่างประเทศมากนัก ทำให้การใช้ภาษาต่างประเทศถูกคนไทยเรามองข้ามไปพอสมควร

แต่ในยุคที่ AEC กำลังจะเริ่ม จะมีกองทัพต่างชาติเข้ามาในไทย ซึ่งตอนนี้ก็เข้ามากันมากแล้ว เราจะไม่ได้ยินเฉพาะภาษาไทยในท้องถนนของบ้านเราอีกต่อไป คิดว่าท่านคงเคยสังเกตกับตัวว่าคนหน้าตาเหมือนๆกัน เดินผ่านกันไป ปรากฏว่าพูดจีน พูดเกาหลีกันปร๋อเลยก็มี

ในการทำธุรกิจระหว่างประเทศภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่นิยมใช้กันมากที่สุด เอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวกับการส่งออกเป็นภาษาอังกฤษ การพูดคุยสื่อสารส่งอีเมลก็ใช้ภาษาอังกฤษ แม้แต่ในอาเซียนเราก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการติดต่อระหว่างกัน คนญี่ปุ่นที่สมัยก่อนไม่นิยมพูดภาษาอื่นนอกจากภาษาตัวเองก็เริ่มปรับเปลี่ยนเข้าหาคนต่างชาติมากขึ้น จะสังเกตได้ว่าคนญี่ปุ่นสมัยนี้พูดภาษาอังกฤษเยอะมากขึ้นกว่าแต่ก่อน คนจีนเองก็เหมือนกัน ในขณะที่เราพยายามคร่ำเคร่งนิยมเรียนภาษาจีนกันมากขึ้นเพื่อไว้ใช้ค้าขายกับคนจีน ในทางตรงกันข้าม คนจีนเองก็นิยมเรียนและฝึกพูดภาษาอังกฤษให้มากขึ้น ในการติดต่อกับคนจีนสมัยนี้ ก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเหมือนกัน ฉะนั้นแล้วภาษาอังกฤษจึงถือว่ามีบทบาทมากที่สุด และถือว่าเป็นภาษาที่เราต้องพูดเป็น

บางท่านอาจจะบอกว่าภาษาอังกฤษมันยากไปกลัวคนต่างประเทศไม่เข้าใจหาว่าเราพูดไม่รู้เรื่อง เจอฝรั่งแล้วกลัว จริงๆ แล้วฝรั่งหัวแดงๆ หลายคนก็พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น เพราะประเทศเค้าไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการเหมือนกัน ลูกค้าผมบางรายก็ออกตัวก่อนเลยว่า “ซอรี่ ภาษาอังกฤษไอไม่ค่อยเก่งนะ” จนทำให้เราต้องพูดคุยกันจนเมื่อยมือเลยทีเดียว ฉะนั้นแล้วภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวนักสำหรับคนไทยนะครับ

ส่วนข้อสงสัยว่าเราควรเป็นกี่ภาษา ก็ตอบแบบขวานผ่าซากว่าท่านอยากค้าขายกับประเทศไหนก็ควรเป็นภาษาของประเทศนั้น ยิ่งเป็นเยอะยิ่งดี ไม่ต้องเก่งขนาดว่าพูดได้เป๊ะ ขอแค่ทักทายได้ ไปประเทศเค้าขอข้าวกินได้ กลับโรงแรมถูก แค่นี้ก็พอแล้วครับ การทักทายเป็นภาษาของประเทศนั้นๆ จะช่วยให้เราเป็น

ข้อดีอีกอย่างสำหรับการเป็นภาษาต่างประเทศ คือ เราสามารถสื่อสารได้กับคนทั่วโลก ลองคิดดูสิครับ ประชากรในโลกมีประมาณ 7 พันล้านคน คนจีนมี 1 พันล้าน ถ้าเราพูดภาษาจีนได้ เราก็สื่อสารได้กับคน 1 พันล้านคนทั่วโลกแล้ว ถ้ารวมกับภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี ภาษาละติน ก็คุยกับคนได้ครึ่งโลกแล้วครับ เราไปเที่ยวไหนก็ไม่อดตายแน่นอน

พูดมาถึงขนาดนี้แล้วคงไม่มีอะไรที่จะสรุปนอกจากเชิญชวนให้ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจส่งออกมาฝึกภาษาต่างประเทศกันเถอะครับ ผมไม่อยากให้แค่คำว่าพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นมาขัดขวางโอกาสของธุรกิจเราในตลาดโลกนะครับ คนทั่วโลกกำลังต้องการสินค้าท่านอยู่ ถ้าท่านไม่ฝึกภาษาต่างประเทศเสียแต่วันนี้ พรุ่งนี้ท่านจะคุยกับเขา ไม่รู้เรื่อง

#KAL #YESCLUB
#ส่งออก #เทรดดิ้ง #การค้าระหว่างประเทศ #ออนไลน์ #หอการค้า #นำเข้าส่งออก
ใครเป็นใครในตลาดส่งออก

ขุมทรัพย์ของบริษัทเทรดดิ้ง