การเปิดพอร์ตหุ้น
ก่อนจะเริ่มการลงทุนในหุ้น เราจำเป็นต้องมีบัญชีกับทางบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรคเกอร์ก่อนเพื่อที่โบรคเกอร์จะเป็นตัวกลางในการซื้อขายให้เรา นักลงทุนไม่มีสิทธิ์ติดต่อซื้อขายโดยตรงกับนักลงทุนอีกฝั่งนึง ดังนั้นจึงต้องมีตัวกลางขึ้นมาเป็นตัวช่วยในการจับคู่ ดังนั้นจำเป็นต้องมีโบรคเกอร์อย่างน้อยหนึ่งที่ก่อนจะเริ่มลงทุนนะครับ
ส่วนตัวแล้วแต่ละบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรคเกอร์นั้นให้บริการแบบเดียวกัน และค่าคอมมิสชั่นที่ต้องเสียนั้นก็แทบจะไม่แตกต่าง แต่ค่าคอมมิสชั่นจะแตกต่างเล็กน้อยระหว่างการซื้อขายหุ้นออนไลน์หรือ และซื้อขายโดยผ่านมาร์เก็ตติ้ง (จะมีรายละเอียดแตกต่างกันนิดหน่อยระหว่างโบรคเกอร์) สิ่งที่แตกต่างกันจะเป็นเรื่องของบทวิเคราะห์ และการบริการของมาร์เก็ตติ้งที่มาดูแลเรา นอกจากนี้สถานที่ตั้งก็อาจจะแตกต่างครับแต่คงไม่เป็นประเด็นมากหากเราไม่ได้ไปที่สาขาเพื่อทำการเทรดหุ้นทุกวัน
และสำหรับความปลอดภัยสำหรับหุ้นของเราที่ลงทุน ก็ไม่ต้องกังวลนะครับเพราะทางโบรคเกอร์เป็นแค่ตัวกลางเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนในการเก็บหุ้นเราเอาไว้ดังนั้นเรื่องความปลอดภัย หายห่วงครับ
ทีนี้เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นผมเอา Top10 บริษัทหลักทรัพย์ (ณ วันที่ 4 กันยา2557) ที่มียอดสั่งซื้อขายจากนักลงทุนมากสุดมาให้ดูกันครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าโบรคเกอร์ที่มีส่วนแบ่งเยอะที่สุดจะดีที่สุดครับเป็นแค่ข้อมูลในการตัดสินใจ (ส่วนตัวผมเปิดไว้หลายๆที่ครับแต่ใช้ซื้อขายกับที่เดียว ส่วนที่เหลือเปิดไว้จะได้เอาบทวิเคราะห์ไว้อ่าน)
1 MBKET ส่วนแบ่งการตลาด 11.61%
2 BLS ส่วนแบ่งการตลาด 7.01%
3 KSMACQ ส่วนแบ่งการตลาด 5.42%
4 CIMBS ส่วนแบ่งการตลาด 5.34%
5 ASP ส่วนแบ่งการตลาด 4.88%
6 FSS ส่วนแบ่งการตลาด 4.64%
7 KGI ส่วนแบ่งการตลาด 4.40%
8 PHATRA ส่วนแบ่งการตลาด 4.35%
9 SCBS ส่วนแบ่งการตลาด 4.10%
10 TNS ส่วนแบ่งการตลาด 3.63%
ส่วนจะเปิดที่ไหนดีสำหรับผมคิดว่าไม่ต่างกันครับ ดังนั้นแล้วแต่จะสะดวกแต่ละคนดีกว่า เพราะว่าสุดท้ายแล้วการลงทุนหากเราตัดสินใจเอง วิเคราะห์เองแล้ว จะโบรคเกอร์ไหนก็แทบไม่แตกต่างกันครับ
สำหรับประเภทบัญชี ทางตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดประเภทบัญชีไว้ทั้งหมด 5 บัญชีตามนี้ครับ
ประเภทบัญชี
บัญชีเงินสด (Cash Account)
เป็นบัญชีที่ต้องชำระค่าหลักทรัพย์เต็มจำนวนด้วยเงินสด โดยโบรกเกอร์จะพิจารณาอนุมัติวงเงินที่นักลงทุนจะสามารถ ใช้ซื้อหลักทรัพย์จากหลักฐานการเงิน แต่จะต้องฝากเงินเพื่อเป็นหลักประกัน (15%) ทั้งนี้จะต้องชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่ซื้อหลักทรัพย์ซึ่งนักลงทุนสามารถโอนเงินหรือตัดเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารอัตโนมัติ (ATS) ส่วนในกรณีที่ขายหลักทรัพย์นักลงทุนจะได้รับชำระค่าขายหลักทรัพย์จากโบรกเกอร์ภายใน 3วันทำการนับจากวันที่ขายหลักทรัพย์เป็บัญชีที่ต้องนำเงินสดเข้าฝากในบัญชี และจะทำการซื้อขายโดยจะเป็นการหักเงินในบัญชีที่ได้ทำการฝากเอาไว้ ทุกครั้งที่จะต้องนำเงินออกจากบัญชีหรือฝากเข้าเพิ่ม จำเป็นต้องติดต่อกับทางโบรคเกอร์
บัญชีเงินฝาก (Cash Balance Account – เริ่มต้น 5000 บาท)
เป็นบัญชีที่นักลงทุนสามารถซื้อหลักทรัพย์ได้เท่ากับจำนวนเงินที่นำมาฝากไว้กับทางโบรกเกอร์ก่อนการซื้อหลักทรัพย์ ทั้งนี้เงินฝากของนักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามอัตราที่โบรกเกอร์กำหนด
บัญชีเครดิตบาลานซ์ (Credit Balance Account)
เป็นบัญชีเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งต้องเสียอัตราดอกเบี้ยตามที่โบรกเกอร์กำหนดโดยนักลงทุนจะต้องวางเงินสดหรือหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นประกัน
บัญชีตราสารอนุพันธ์
เป็นบัญชีสำหรับการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภท Futures หรือสัญญา Optionsซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย (TFEX) ทั้งนี้ นักลงทุนต้องวางเงินหลักประกัน ก่อนการลงทุนและอาจถูกเรียกหลักประกันเพิ่มหากระดับเงินประกันลดต่ำกว่าอัตราที่กำหนด
เอกสารที่ต้องใช้
· สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ หรือหนังสือเดินทาง
· สำเนาทะเบียนบ้าน
· สำเนาใบแจ้งรายการบัญชีธนาคารหรือสำเนาสมุดเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
· แบบคำขอให้หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (ATS)
· ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
สุดท้ายนี้หากคุณเองสะดวกเปิดบัญชีกับที่ไหน เปิดบัญชีประเภทใด ก็สามารถทำได้ อาจจะใช้เวลาในการเปิดบัญชีประมาณ 1-2อาทิตย์ครับ และรายละเอียดต่างๆสามารถสอบถามกับทางบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรคเกอร์ได้อีกทีครับ
Mr.N
#Yesclub #เปิดบัญชีหลักทรัพย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น