วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

Uniqlo: แกะรอยกลยุทธ์แบรนด์ดัง


ยูนิโคล่ เป็นแบรนด์เสื้อผ้าดังระดับโลก สัญชาติญี่ปุ่น ที่เข้ามาในประเทศไทย เมื่อประมาณ 3 -4 ปี ก่อน เพียงแค่ เวลาไม่นาน ปัจจุบัน ยูนิโคล่ มีสาขาในไทย 20 สาขาเข้าไปแล้ว

หลังจาก UQ เข้ามาในไทย ก็ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภค และ ตลาดเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าในไทย เปลี่ยนแปลงไป โดยพบว่า UQ ทำให้คนทั่วไป ซื้อเสื้อผ้าบ่อยขึ้น และ เยอะขึ้น , UQ กลายเป็น ร้านที่แต่ละศูนย์การค้าต้องการเพื่อที่จะเป็น แม่เหล็กดึงดูดให้ลูกค้ามาเดินในศูนย์การค้ามากขึ้น

กลยุทธ์หลัก ของ Uniqlo (UQ) นั้นมีอยู่ สองอย่างหลักๆ คือ

1. สินค้าดีมีคุณภาพ Design เรียบง่าย เหมาะกับทุกๆคนในทุกๆโอกาส
2. ราคาถูก เมื่อเทียบกับ แบรนด์อื่นๆ โดยทั่วไป ในระดับ คุณภาพเดียวกัน

จริงๆแค่สองข้อนี้ ก็ทำให้เค้าขายได้ในระดับนึงแล้วล่ะครับ เพราะต้องยอมรับว่า เสื้อผ้าของ UQ นั้นเค้าออกแบบมาได้อย่างดี และ มีการควบคุมการผลิต และ วัสดุที่ใช้อย่างดี ที่สำคัญ ออกแบบทีเดียว ใช้ทั่วโลก ทำให้ต้นทุนอยู่ในราคาที่ดีกว่าแบรนด์อื่น ในคุณภาพเดียวกัน แต่ยังมีกลยุทธ์ย่อยๆอีกหลายอย่างเลยครับ ที่ UQ เค้าทำและทำให้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เค้าทำมีดังนี้ครับ

1. เสื้อผ้า มีครบสำหรับทุกเพศทุกวัย เรียกได้ว่า มาทั้งครอบครัว ได้ดูกันได้หมด ไม่ต้องกังวลว่า คนที่มาด้วยจะไม่มีอะไรรอแบบเบื่อๆ ส่วนใหญ่คนที่รอ เดินไปเดินมา ก็อาจจะซื้อได้สักตัวหรือสองตัว

2. เสื้อผ้าครบทุกการใช้งาน ชุดทำงาน, ชุดอยู่บ้าน, ชุดลำลอง, ชุดกีฬา, ชุดชั้นใน เรียกได้ว่า เข้าร้านเดียว มีครบสำหรับทุกๆโอกาส

3. เน้นในการแนะนำและสร้างประโยชน์จากการใช้งานของเสื้อผ้า ที่ไม่ได้เน้นแค่ความสวยงาม เช่น เสื้อผ้าสำหรับหน้าหนาว, เสื้อผ้าสำหรับหน้าร้อน หรือ พวก เสื้อกีฬา ที่เน้นเรื่องการใช้งาน การระบายอากาศ ความยืดหยุ่นต่างๆ

4. มีการทำ Brand ย่อยๆ สำหรับแต่ละสินค้า เช่น Heattech เสื้อผ้าหน้าหนาว, Airism เสื้อผ้าหน้าร้อน, UT เป็นเสื้อยืดที่มีหลาย Collection

5. เปลี่ยน Collection ตามฤดูกาลไปเรื่อยๆ และ เมื่อเปลี่ยนแล้ว ของเก่าก็จะไม่มีขาย ทำให้ลูกค้าต้องคอยติดตามอย่างต่อเนื่องว่า เสื้อผ้าแต่ละฤดูเป็นอย่างไรบ้าง เพราะถ้าหมดแล้วหมดเลย

6. โปรโมชั่น มีทุกสัปดาห์ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยจะดึงเอาสินค้าขายดีหลักๆ มาทำโปรโมชั่น เพื่อดึงลูกค้าแต่ละกลุ่มให้เข้ามาที่ร้านให้บ่อยที่สุด โปรฯแต่ละครั้งจะมี ครบสำหรับ ผู้ชาย ผู้หญิง และ เด็ก และ เมื่อลูกค้าที่มาที่ร้าน ส่วนใหญ่ก็จะซื้อมากกว่าที่ตั้งใจไว้ในทุกๆครั้ง (โดยเฉพาะ สาวๆครับ)

7. ออกแบบร้าน ให้โปร่งสบาย เดินแล้วไม่อึดอัด แบ่งสัดส่วนสินค้า ได้เป็นหมวดหมู่ และที่สำคัญ มีการเปลี่ยนที่สินค้าอยู่เรื่อยๆ ทำให้ร้านดูไม่เหมือนเดิม ทุกครั้งที่เข้าไปต้องเดินตามหา สินค้า ทำให้บางทีตั้งใจจะซื้ออะไรสักอย่าง ก็ต้องเดินผ่านสินค้าอย่างอื่น และ อาจจะสนใจและซื้อเพิ่มได้

8. บริการดีมากกก ข้อนี้ต้องบอกว่าสุดยอดจริงๆครับ พนักงานที่นี่ จะมีความกระตือรือร้นในแบบฉบับ ของพนักงานที่ญี่ปุ่น พนักงานทุกคนมีใจรักบริการ เดินไปมากระฉับกระเฉงและดูเป็นมิตร ยิ้มและพูดจาฉะฉานเสียดังฟังชัดตลอดเวลา ทักทายลูกค้าทุกคน ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหนของร้าน เรียกได้ว่า ทำให้ลูกค้าที่เดินเข้าไปแล้วรู้สึกสบายเป็นกันเอง ไม่เกร็งเหมือนบางร้านที่เวลาเดินเข้าไปแล้วเหมือนโดนจ้องจะจับผิดตลอดเวลา

9. สินค้าเปลี่ยนได้ทุกอย่าง ภายใน 30 วัน ไม่มีข้อแม้ หรือ เงื่อนไขมากมาย เปลี่ยนสาขาไหนก็ได้ ขอแค่คุณยังไม่ตัดป้ายราคา ทำให้บางครั้ง เราตัดสินใจว่า ซื้อๆไปก่อน เดี๋ยวของหมด เอาไปลองก่อน ไม่ชอบค่อยมาเปลี่ยน..

UQ มีแผนในการทำธุรกิจ และ มีแผนการตลาดที่ดีมาก โดยสิ่งที่เค้าเน้น คือ คุณค่าของสินค้า และ บริการที่จะส่งมอบให้กับลูกค้า UQ ไม่ได้เน้นทำโฆษณา หรือ สร้างแบรนด์โดยการใช้สื่ออะไรมากนัก แต่ UQ สร้างแบรนด์ จากคุณภาพ และ บริการมากกว่า โดยเน้นสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าจากการไปซื้อสินค้า ได้รับบริการดีๆจากพนักงาน และ เมื่อสวมใส่แล้ว มีความพอใจกับคุณภาพและราคาของเสื้อผ้าที่ซื้อมา

หวังว่าคงจะได้ข้อคิดอะไรดีๆไปปรับใช้ในธุรกิจของคุณกันบ้างนะครับ
ARA
#YESClub #Uniqlo

โลกเปลี่ยนเร็วกว่าที่คุณคิด



สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปเดินงาน SMEs ที่จัดโดย SME Thailand Expo ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี ผมใช้เวลาเดินไม่นานก็พอรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จากที่ผมเคยมางานนี้แล้วครึ่งหนึ่งเมื่อ 7 ปีก่อน และมีหลายๆ ประเด็นที่อยากจะแชร์ให้ผู้อ่านรับฟัง

ผู้ที่มาเดินในงานนั้นพบว่านอกจากขาช้อปทั้งหลายแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวอายุ 20-35 ปี มาดูงานเพื่อหาไอเดียทำธุรกิจใหม่ๆ

บูธที่มาจัดงานนั้น สินค้าเริ่มไม่เหมือนเดิม จากเมื่อ 7 ปีก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตมาออกบูธเอง และมีสินค้าที่ผลิตโดยคนไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้เริ่มมีสินค้าที่ดูออกว่าไม่ได้ผลิตเองแต่เน้นการสร้างแบรนด์ด้วยตัวเอง มาออกบูธมากขึ้น สินค้าดูมีดีไซน์และภาพลักษณ์ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จะเห็นว่าผู้ที่มาออกบูธยังอายุน้อยมาก 20-30 ปีเท่านั้น

นอกจากสินค้าแล้ว ยังพบว่าธุรกิจให้บริการมีจำนวนบูธมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริการทางด้านการทำตลาดออนไลน์ การขนส่ง หรือแม้กระทั่งบริการเกี่ยวกับบริหารจัดการสต็อกสินค้า

ในส่วนบูธของทางราชการก็เปลี่ยนไปแบบเห็นได้ชัด การสนับสนุนของทุกหน่วยงานเริ่มเจาะกลุ่มมากขึ้น จากเดิมที่จะหว่านช่วยทุกอย่างทั้งการผลิต การตลาด การเงิน ฯลฯ แต่ตอนนี้ลดวงเหลือแค่การทำ e-commerce

ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ผมบังเอิญมาเจอหนังสือที่ผมเคยสะดุดตาและอยากได้มากเมื่อ 7 ปีก่อน วันนี้ผมมีโอกาสเจออีกครั้ง พบว่าไม่ได้มีความน่าสนใจอีกต่อไป เนื่องจากหนังสือดังกล่าวพูดถึงเรื่องแผนธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ การผลิตกระเป๋า หรือแม้กระทั่งธุรกิจบริการอัดและถ่ายภาพ ฯลฯ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ล้าสมัยและไม่เหมาะกับคนไทยอีกต่อไปแล้ว

สุดท้ายแล้วก็ไม่พลาดในเรื่องของการสัมมนา ผมได้ไอเดียและจุดไฟในการเริ่มทำธุรกิจในงานนี้จากเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แต่คราวนี้พบว่าเนื้อหาเน้นไปทาง การหา e-commerce และการบริหารจัดการลดต้นทุน

สรุปได้ว่าเทรนด์ธุรกิจยุคนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว โลกเปลี่ยนเร็วกว่าที่คิด อะไรที่เคยใช้ได้เมื่อวาน ก็ไม่สามารถใช้ได้ในวันนี้อีกแล้ว สิ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องมีคือการเข้าใจการเปลี่ยนแปลง รับรู้และตอบสนองให้ทัน เพื่อที่จะเอาตัวรอดได้ในโลกธุรกิจต่อไป

#KAL #YESCLUB
#สัมมนาธุรกิจ

ความสำเร็จ ไม่ขึ้นอยู่กับอายุอีกต่อไป ! !
http://www.yesclubbusiness.com/2014/08/blog-post_28.html

มาเริ่นต้นธุรกิจทุนน้อยกันเถอะ
http://www.yesclubbusiness.com/2014/09/blog-post_10.html

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

เริ่มเล่นหุ้นออนไลน์ยังไงดี


เริ่มเล่นหุ้นออนไลน์ยังไงดี




การลงทุนในหุ้นหรือเล่นหุ้นนั้นสามารถทำการซื้อขายได้ 2 วิธี ซึ่งก็คือ ซื้อขายออนไลน์ หรือจะซื้อขายหุ้นผ่านโบรคเกอร์หรือที่เรียกกันว่ามาร์เก็ตติ้งของแต่ละบริษัทหลักทรัพย์ครับ แต่ก่อนจะเริ่มเล่นหุ้นออนไลน์ได้นั้นจะต้องทำการเปิดบัญชีก่อน ซึ่งการเปิดบัญชีนั้นก็สามารถเลือกได้ว่าต้องการเปิดบัญชีแบบไหนไม่ว่าจะเป็นวิธีดั้งเดิมคือทำการสั่งซื้อขายคือต้องใช้การโทรศัพท์สั่งซื้อ หรือว่าเปิดบัญชีแบบออนไลน์ซึ่งก็จะสามารถซื้อขายเองได้ทางออนไลน์ ซึ่งการซื้อขายหุ้นออนไลน์นั้นก็จะมีค่าคอมมิสชั่นที่ถูกกว่าแบบเดิมอยู่นิดหน่อย (หากไม่ได้ซื้อขายบ่อยๆ ส่วนต่างก็จะน้อยถึงน้อยมาก แต่ถ้าซื้อขายบ่อยๆส่วนต่างตรงนี้ก็อาจทำให้เยอะได้พอสมควรครับ)



สำหรับวิธีดั้งเดิมคือการซื้อขายผ่านโบรคเกอร์ที่เราจำเป็นต้องโทรหาโบรคเกอร์ของเราเพื่อทำการซื้อขายซึ่งทางมาร์เก็ตติ้งก็จะเป็นคนทำเรื่องซื้อขายให้เราแทน และทางมาร์เก็ตติ้งของเราจะไม่สามารถทำการซื้อขายนอกคำสั่งของเราได้ (แต่ต้องระวังเรื่องสื่อสารกันผิด บอกตัวนึง ไปสั่งซื้อขายอีกตัวนึง classic case เลยคือ SCC (ปูนใหญ่) กับ SCCC (ปูนกลาง))



ส่วนการซื้อขายหุ้นออนไลน์นั้นเพียงแค่เรามี internet แล้วก็มีบัญชีซื้อขายกับทางโบรคเกอร์แล้วก็สามารถทำการซื้อขายหุ้นเองได้เลย โดยเข้าไปที่ settrade และทำการใส่ username กับ password และเลือก โบรคเกอร์หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่เราไปเปิดบัญชีไว้และทำการซื้อขายได้เลย เพียงแค่ระวังเรื่องคีย์ตัวเลขซื้อขายผิด จะตั้งซื้อไปตั้งขายแทนซะงั้น หรือกลับกันจะตั้งขายดันไปตั้งซื้อแทน (ผมเองก็เคย แถมบ่อยซะด้วย 55) สำหรับ settrade จะมีเครื่องมือให้ใช้คือ streaming นั้นก็จะมี features ต่างๆมาอัพเดทให้ผู้เล่นหุ้นออนไลน์สะดวกมากขึ้นเรื่อยๆ (ตอนนี้ streaming มีทั้งแบบ destop, หรือบน platform mobile ไม่ว่าจะเป็น smartphone หรือ tablet ทั้ง ios และ android ซึ่ง version ของ android นั้นค่อนข้างด้อยกว่าของ ios อยู่เยอะพอสมควรทีเดียว)



ดังนั้นจริงๆแล้วเรื่องความต่างคงมีไม่มากระหว่างซื้อขายผ่านมาร์เก็ตติ้งหรือซื้อขายทางออนไลน์ด้วยตัวเองและที่เหลือนักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์ด้วยตัวเองเยอะๆ ก่อนทำการซื้อขายใดๆนะครับ (การลงทุนมีความเสี่ยง)



Mr.N



#Yesclub #การเล่นหุ้นออนไลน์

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557



กำหนดกลุ่มลูกค้าดีมีชัยไปกว่าครึ่ง




หลายทีที่ผมคุยกับเพื่อนที่กำลังจะทำธุรกิจหรือพึ่งได้เริ่มไป ผมชอบถามว่าอันนี้จะไปขายใคร ใครเป็นลูกค้า และส่วนใหญ่คำตอบที่ผมได้มาคือ “ขายทุกคน” ซึ่งมันก็ไม่แปลกนะครับหากคิดแบบนั้น ส่วนใหญ่จะให้เหตุผลต่อว่า ไม่ว่าใครก็ใช้ก็ซื้อได้ ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายก็คือทุกๆคน



แต่จริงๆแล้วสินค้าตัวใดตัวหนึ่งจะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกคนได้จริงๆหรอ ก็เลยพยายามมานั่งนึกว่าแบรนด์อะไรสินค้าอะไรที่สามารถตอบโจทย์คนได้ทุกคน มีคิดออกมั้ยครับ เท่าที่ผมนึกออกได้ใกล้เคียงสุดก็คือ Coca Cola ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามากสุดในโลก แต่กระนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโคทุกคนได้ เพราะว่าคนส่วนนึงก็ไม่ทานโซดาที่ซ่าๆเพราะว่าไม่ดีต่อสุขภาพ อีกด้านนึงก็เป็นเรื่องของความหวานที่มากเหลือเกิน ซึ่งหลายๆคนก็ไม่สามารถรับกับความหวานขนาดนั้นได้ ประเด็นมันเลยอยู่ว่าจริงๆแล้วสินค้าเราขายได้ทุกคนหรือทุกๆคนเป็นลูกค้าเราได้จริงๆหรือ



สำหรับผมแล้ว (อาจจะเฉพาะผมนะครับ) ผมเชื่อว่าเราจำเป็นต้องระบุคนเฉพาะกลุ่มขึ้นมาเพื่อเป็นลูกค้ากลุ่มหลักของเรา และยังเชื่อว่าไม่ใช่ทุก Segment ที่ต้องการสินค้าที่เรามีอยู่



สำหรับกลุ่มเป้าหมายนั้น เราจำเป็นต้องบอกได้ ระบุได้ชัดเจนเลยว่าควรจะเป็นใครที่ใช้ที่ซื้อสินค้าเราเป็นหลัก เช่นว่า เปิดร้านกาแฟ แต่ร้านกาแฟก็มีเต็มไปหมดตั้งแต่ราคาแก้วละไม่กี่บาทไปจนถึงหลายร้อยบาท แล้วการเข้าไปขายกาแฟอีกร้านนึง คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะมีลูกค้ามาซื้อร้านคุณถ้ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายเหมือนๆกันหมด



สมมติว่าจากสิ่งที่คุณสังเกตและเก็บข้อมูลมา เจอว่า กลุ่มผู้หญิงมักจะไม่ค่อยกินกาแฟซักเท่าไรมักจะกินโกโก้เย็นมากกว่าเลยเข้าไปถามเลยรู้ว่าพวกเธอเหล่านั้นชอบกินกาแฟนะ แต่กาแฟที่กินนั้นมีคาเฟอีนเยอะเกินไปไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงและยังทำให้ฟันมีสีเหลืองด้วย นอกจากนี้นมข้นที่ใส่ก็ยังทำให้อ้วนมากๆอีกด้วย พอคุณรู้แบบนี้แล้วคุณเลยคิดว่ากาแฟที่คุณมีเนี่ยเป็นกาแฟแบบดีแคฟและคุณยังใส่นมพร่องมันเนยแทนนมข้นด้วยทำให้ไม่มีคาเฟอีนและก็ไม่อ้วน ทีนี้เรามาลองสมมติกันดูจากตัวอย่างเดิมนะครับหากเราระบุกลุ่มเป้าหมายชัดเจนขึ้น เช่นว่า เป็นกาแฟสำหรับกลุ่มผู้หญิงทำงานที่ห่วงสุขภาพ อายุประมาณ 25-35 ปีและไม่ต้องการคาเฟอีนมากเท่าไร ทานแล้วไม่อ้วนไม่เสียสุขภาพ

ดังตัวอย่างที่บอกไป ถ้าหากกลุ่มเป้าหมายนี้มีจำนวนมากพอและเรากำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จัดเจนแล้ว เราสามารถทำ Marketing mix อย่างอื่นให้เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและตรงจุดได้มากขึ้น ผมเชื่อว่าคุณจะขายได้ครับ ดังนั้นผมจึงมั่นใจว่ามันจำเป็นถ้าเราต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน และคุณก็เดินทางมาครึ่งทางแล้ว ส่วนอีกครึ่งทางนั้นก็อยู่ที่ส่วนผสมการตลาดที่คุณจะผสมลงไปครับ ก่อนจะทำการตลาดใดๆ อย่าลืมกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนนะครับ



Mr. N

#Yesclub #กลุ่มเป้าหมายการตลาด #target

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

สินทรัพย์มีค่าที่สุดของคุณ


เราพูดเรื่องการหาเงินมาตลอด วันนี้ขอพูดเรื่องสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินบ้างนะครับ  อาจจะเคยรู้อยู่แล้ว แต่เราก็ควรใส่ใจมันสักทีครับ ผมเลือกมา 7 อย่างที่คิดว่าสำคัญที่สุดที่เราควรจะมีเพราะมันทำให้เรามีความสุขในการดำเนินชีวิต

1.     เวลา
ผมเคยเจอคนรวยๆ หลายบ้านที่มีกันอยู่ 5-6 คน แต่ทั้งบ้านไม่เคยได้ไปเที่ยวพร้อมหน้ากัน เพราะต้องมีคนใดคนหนึ่งอยู่เฝ้าธุรกิจของที่บ้าน มันจะดีกว่ามั้ยถ้าได้ไปเที่ยวพร้อมหน้ากันทั้งบ้านโดยไม่ต้องพะวงเรื่องธุรกิจ แน่นอนครับ การบริหารจัดการให้ตัวเราสามารถปล่อยมือจากธุรกิจของเราได้เป็นเรื่องสำคัญ สร้างระบบการทำงานในบริษัทคุณให้คุณสามารถเกี่ยวข้องน้อยที่สุดโดยที่ธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ อันนี้แหละสำคัญ (ถ้าไม่เกี่ยวข้องเลยจะยิ่งดี แม้จะค่อนข้างยากในชีวิตจริง)

2.     สุขภาพ
ลองนึกภาพตัวคุณเองมีบ้านหลังใหญ่ มีครอบครัวที่น่ารัก มีเงินมากมายมหาศาล มีอาณาจักรธุรกิจมูลค่าพันล้านอยู่ในมือ แต่ต้องนั่งรถเข็นหรือนอนอยู่บนเตียง หรือเดินโดยใช้ไม้เท้าพยุง ไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ คุณคงไม่อยากเป็นอย่างนั้นใช่มั้ยครับ ดังนั้นสุขภาพสำคัญที่สุดครับ มันเป็นเหมือนลูกน้องที่ซื่อสัตย์กับเราที่สุด ไม่ว่าคุณจะกินอะไรที่มีโทษต่อร่างกาย มันไม่เคยบ่น มันจะคอยกำจัดของเสียให้คุณ คุณจึงไม่เคยเห็นค่าของมัน แต่วันนึงเมื่อมันทำงานไม่ไหวแล้ว คุณถึงค่อยเห็นความสำคัญของมัน ฉะนั้น เปลี่ยนความคิดใหม่นะครับ คุณต้องดูแลให้มันอยู่กับเราให้นานที่สุด มีเงินเยอะก็ซื้อไม่ได้จริงๆ วิธีการง่ายๆ กินให้อิ่ม นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และห้ามเครียดเด็ดขาด แค่นี้ก็พอแล้วครับ
3.     ความรู้ความสามารถ
“มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน” ยังคงเป็นสุภาษิตที่ใช้ได้จนถึงปัจจุบัน หากคุณไม่มีความรู้ความสามารถในสิ่งที่ทำอยู่ ก็ควรไปฝึกฝนให้ชำนาญ อย่าเอาแต่บ่นว่าตัวเองไม่มีความสามารถ เกิดมาไม่เก่ง ของอย่างนี้อยู่ที่การเรียนรู้และฝึกฝนเท่านั้นครับ

4.     สติปัญญา
หากเราไม่ใส่ใจเรื่องสติปัญญา จะทำให้เราแก้ปัญหาในชีวิตได้ไม่ดีเท่าที่ควร คนที่มีสติดี จะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เผชิญกับอะไร และจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีฝึกสติก็เป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์นั่งสมาธิหรือ เดินจงกรม เราทำเองได้ทั้งที่บ้านทุกวัน หรือ ไปปฏิบัติธรรมอย่างน้อยปีละครั้ง ก็จะยิ่งเป็นผลดีครับ

5.     กำลังใจ
ว่ากันว่าถ้าคนเราล้มเลิกกลางคันเพราะหมดกำลังใจ ท้อแท้ เราคงไม่ได้เห็น หลอดไฟของ Edison ไก่ทอด KFC และหลายๆ ตัวอย่างที่เป็นกรณีศึกษาที่ดังๆ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญครับ และสำคัญมากๆ ในช่วงแรกของการเริ่มทำธุรกิจ กำลังใจ ความหวัง ความฝันของเรา ทำมันให้ได้ อย่าให้ใครมาทำลาย ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนที่เรารักมากแค่ไหนก็ตาม

6.     คนที่เรารัก
สิ่งใดที่เราพบเจอหรือได้ครอบครองอยู่ทุกวัน เรามักจะไม่เห็นค่าความสิ่งนั้น คนรอบข้างก็เช่นกัน เราอาจจะหลงลืมไปว่าชีวิตนี้ดีแค่ไหนที่ได้มีเขาเหล่านั้นอยู่รอบข้างเรา เขาเหล่านั้นเป็นเหมือนเพื่อนร่วมทางในชีวิตคุณ ที่วันนึงก็ต้องจากกันไป ฉะนั้นแล้วไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน ได้โปรดดูแลรักษาและใช้ชีวิตร่วมกับเขาเหล่านั้นให้มากที่สุด

7.     สังคม ศาสนา และประเทศชาติ
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่ผมเชื่อว่าคนเราดีได้ส่วนหนึ่งเพราะสังคมดี ประเทศชาติดี ลองมองในหลายประเทศที่ยังมีสงครามกลางเมืองหรือสงครามกับต่างประเทศ เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่เกิดมาเป็นคนไทยและมีสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง ประเทศเรามีสังคมที่มีอิสระเสรี เราสามารถนับศาสนาอะไรก็ได้อีก

นี่ล่ะครับ สินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินทองที่พวกเราควรมี หรือมีแล้วก็ควรซาบซึ้งในสิ่งที่เรามีอยู่มากกว่าสิ่งที่เรายังไม่ได้มา สุดสัปดาห์นี้ก็หวังว่าท่านจะใช้เวลาว่างทบทวนว่าสินทรัพย์ของท่านยังอยู่ครบรึเปล่า และเราควรจะเพิ่มสินทรัพย์ตัวไหนอีกบ้างนะครับ


#KAL #YESCLUB
#ASSETS #สินทรัพย์ #สุขภาพ #บริหารเวลา #พัฒนาตัวเอง

Comfort Zone โซนสบายๆที่อาจจะทำให้เราตายโดยไม่รู้ตัว

http://www.yesclubbusiness.com/2014/08/comfort-zone.html

20:80 กฎแห่งความสำเร็จ 

http://www.yesclubbusiness.com/2014/08/2080.html

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

คู่ค้า VS คู่แข่ง


คู่ค้า VS คู่แข่ง



วันก่อนพึ่งเขียนบทความไปเรื่อง คู่แข่ง กับ คู่ค้า ว่าบางทีคู่แข่งเราอาจไม่ใช่คู่แข่งถ้าเราสามารถจัดการให้เค้ากลายเป็นคู่ค้าหรือพันธมิตรกับเราได้และจะช่วยให้ธุรกิจของคุณไปได้ดีกว่าเดิม วันนี้ผมขอกลับด้านกัน งงล่ะสิครับ อะไรของมันวันก่อนบอกอีกอย่างมาวันนี้บอกอีกอย่างครับ ไม่ได้มั่วด้วยเพราะมันเป็นยังงั้นจริงๆครับ


เคยสังเกตมั้ยครับว่าบางทีในธุรกิจที่เราทำอยู่นั้นบางทีทำไมต้องไปแข่งกับธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงกับเรา งงล่ะสิครับว่าทำไม ไม่ได้อยู่ในธุรกิจเดียวกันแต่ต้องแข่งกันซะละ ลองนึกภาพนะครับสมมติว่าเราอยู่ในธุรกิจแต่งงาน เปิดร้านตัดเสื้อแต่งงาน โดยปกติคนจะแต่งงานก็เดินเข้ามาตัดชุด เช่าชุดกับเราเสร็จก็จบกัน บางทีลูกค้าก็ถามว่ามีแนะนำตากล้องมั้ย ช่างแต่งหน้าล่ะ โรงแรมละ หรือมี organizer ด้วยมั้ย ซึ่งโดยทั่วไปคนที่ทำอยู่ในธุรกิจนั้นก็จะมีคนรู้จักที่จะแนะนำกันไปวันเวลาผ่าน ลูกค้าหลายๆคนยังเข้ามาถามคำถามเดิมๆ เจ้าของร้านตัดเสื้อก็ยังแนะนำแบบเดิมแนะนำตากล้องคนนั้น ร้านทำผมร้านนี้ โรงแรมนั้น จนวันนึงเริ่มเอะใจว่าไหนๆคนก็เข้ามาถามเราเยอะ เรื่องแต่งหน้าเราก็เป็นนิทำผมก็พอได้ น้องชายก็ถ่ายรูปเก่ง ก็เริ่มสนใจมาลองทำบ้างพอลูกค้าเข้ามาเช่าชุด ถามถึงตากล้อง ถามถึงช่างแต่งหน้าทำผม ก็เลยแนะนำคนของตัวเองซะ และนานวันเข้าจากที่เคยทำธุรกิจเดียวแข่งกับร้านชุดเสื้ออื่นๆ ตอนนี้ก็เข้ามาแข่งขันกับธุรกิจแต่งหน้าและถ่ายรูป เช่นเดียวกันช่างแต่งหน้า หรือธุรกิจอื่นๆ โอกาสที่เข้ามาก็ไม่ผิดที่จะคว้าไว้ หลายๆคนก็คงจะทำอย่างนั้นและจนสุดท้าย การแข่งขันจะไม่ใช่แค่เพียงธุรกิจเดียวกันเท่านั้น ทุกคนที่อยู่ใน supply chain เดียวกันพร้อมจะแย่งเงินจากกระเป๋าลูกค้าคนเดียวกันให้รวบมาอยู่ที่เราให้มากที่สุด เรายังคิดจะขยายไลน์ขึ้นไปคนอื่นก็คิดแบบเดียวกัน ดังนั้นไม่เกี่ยวว่าคุณกำลังแข่งกับใครแต่อย่าลืมว่าทุกๆคนเป็นคู่แข่งคุณได้ทั้งหมด




จากจุดนั้นมาถึงตรงนี้ตอนนี้เห็นด้วยกับผมรึยังเปล่าครับว่า “คู่ค้า” ก็กลายเป็น “คู่แข่ง” ได้และ คู่แข่ง ก็กลายเป็น “คู่ค้า” ได้ อย่าหยุดนิ่งอยู่กับที่คิดว่าไม่คู่แข่งสำหรับธุรกิจของคุณเพราะถ้ามันหอมยั่วยวนมาก รับรองจะมีคนเข้ามาแย่งเค้กของคุณอย่างแน่นอนไม่ว่าคุณจะเป็นคู่ค้าหรือเป็นใครเช่นคำกล่าวว่า “ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร” ครับ


Mr.N

#yesclub #คู่ค้า #คู่แข่ง #กลยุทธ์ทำธุรกิจ #การแข่งขัน




-------------------------------------------------------------------------

บทความอื่นที่น่าสนใจ


คู่แข่ง VS คู่ค้า เปลี่ยนคู่แข่งมาเป็นคู๋ค้าซะ ก่อนจะตายหายกันไปทั้งหมด

อ่านต่อ => http://goo.gl/LU61L0

---------------------------------------------------------------------------

5 วิชาท่องโลกธุรกิจของ SME มาดูกันว่า 5 วิชาที่ทำให้ธุรกิจ SME ของคุณไปได้ไกลกว่าเดิม

อ่านต่อ => http://goo.gl/hLGQ9M

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

คุณบริหารกิจการของคุณอย่างไร


การบริหารธุรกิจ ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็ก หรือ ขนาดใหญ่ ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่เหมือนกันคือทำธุรกิจเพื่อต้องการสร้างกำไร ซึ่งรูปแบบในการดำเนินธุรกิจของแต่ละที่ก็จะแตกต่างกันออกไป ตามลักษณะ และ ความถนัดของแต่ละที่ โดยรูปแบบหลักๆในการทำกลยุทธ์หรือดำเนินธุรกิจก็แบ่งได้ออกเป็นตามนี้ครับ

1. การตลาดนำ
รูปแบบนี้จะเป็น องค์กรที่ใช้การตลาดเป็นตัวนำ มีการศึกษาตลาด ผู้บริโภค หาโอกาสความเป็นไปได้ และ เน้นในการนำส่งคุณค่าให้กับลูกค้า หรือ ไม่ก็มีการหาตลาดใหม่ ออกสินค้าใหม่ให้กับองค์กร กลุ่มธุรกิจสินค้า FMCG ส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรที่เน้นในด้านการตลาดนำเป็นหลัก เพราะต้องออกสินค้าใหม่ หรือ หาตลาดใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

2. การขายนำ

รูปแบบองค์กรในลักษณะนี้จะเน้นในเรื่องการขาย เน้นเรื่องยอดขายเป็นหลัก องค์กรในรูปแบบนี้จะเก่งในด้านการขายมาก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไร ก็สามารถขายได้ทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นในลักษณะของบริษัท Trading หรือ บริษัทที่มีสินค้าเยอะๆ หรือ เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจขายส่ง หรือ สินค้าทั่วๆไปที่ไม่ค่อยมีความแตกต่าง เช่นสินค้าเกษตรกรรม

3. การผลิตนำ
องค์กรไหน ที่ให้ฝ่ายผลิต หรือ โรงงานนำ ก็จะเน้นในการขาย หรือทำตลาด ในสิ่งที่ตนเองมี ทำเท่าที่จะทำได้ โดยเน้นในเรื่องของความสามารถในการผลิตเป็นหลัก เน้นในเรื่องของต้นทุน และ ปริมาณการผลิต ยิ่งทำมากยิ่งมีต้นทุนต่ำ และ ยิ่งขายได้มากขึ้น ในกลุ่มนี้ จะเป็นพวกกลุ่มโรงงาน ผู้ผลิตต่างๆ ซึ่งในประเทศไทยจะมีองค์กรประเภทนี้ค่อนข้างเยอะ และส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม ธุรกิจครอบครัวที่มีการบริหารงานแบบดั้งเดิม

4. CEO นำ
องค์กรแบบสุดท้ายเป็นลักษณะ ที่ผู้นำขององค์กรจะต้องดูทุกอย่างในภาพรวม และเป็นผู้ที่จะนำองค์กรไปในทิศทางที่ต้องการ โดยมีการปรับเปลี่ยนสถานการณ์ต่างๆตามความเหมาะสม บางครั้งก็เน้นในเรื่องการตลาด บางครั้งเน้นในเรื่องของการผลิต หรือ บางครั้งก็สลับมาเป็นรูปแบบในการขาย แต่ในรูปแบบนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำ ถ้าดำเนินการผิดพลาดผิดจังหวะก็อาจจะทำให้ธุรกิจมีปัญหาเอาได้ง่ายๆ

จากประสบการณ์ของผม ทั้ง 4 รูปแบบ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ หากถ้าคุณเก่งในด้านนั้นจริงๆ ธุรกิจก็สามารถที่จะทำกำไรและอยู่รอดได้อย่างแน่นอน

ARA
#YESClub

5 วิชาท่องโลกธุรกิจของ SME


คราวที่แล้วผมเขียนเรื่อง 5 สเตปเทพไป ซึ่งเป็นการจัดการเกี่ยวกับตัวเราและเรื่องภายในธุรกิจเราเอง ในเมื่อเรามีสเตปเทพส่งเสริมให้ธุรกิจเราก้าวเดินแล้ว เราต้องมีอีก 5 วิชาเอาไว้ประมือกับคู่ต่อสู้ในตลาดธุรกิจ เพื่อให้เราแข็งแกร่งและอยู่รอด ผมมีเคล็ดลับ 5 ข้อ สำหรับเผชิญยุทธจักรแห่งธุรกิจมาฝากครับ

1.  ปลาเร็วกินปลาช้า ไม่ต้องใหญ่ แค่เร็วกว่า
สิ่งที่ SME ได้เปรียบบริษัทใหญ่คือความเร็วความคล่องตัว SME นั้นสามารถวิเคราะห์ข้อมูลระดับหนึ่งแล้วตัดสินใจทำได้เลยทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อน การวางแผนระยะ 1 – 3 ปี ถือว่าเป็นระยะสั้น แต่สมัยนี้ถือว่าเป็นแผนระยะยาวไปแล้ว เนื่องจากโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก มือถือออกมาไม่นานก็ตกรุ่น โลชั่นยี่ห้อเดิม เปลี่ยนโฉมใหม่ทุกๆ 3 – 6 เดือน ละครหนึ่งเรื่องมาแค่ 12 ตอนจบ ใครจะมาบอกว่าขอคิดขอดูเทรนด์ก่อนครึ่งปี คงจะยากครับที่จะตามทันธุรกิจสมัยนี้ สิ่งที่เราต้องทำคือ หาข้อมูลให้มากพอ แล้วตัดสินใจลงมือทำทันที

2. เปลี่ยนคู่แข่งมาเป็นคู่ค้า
ถ้าในธุรกิจคุณหรือธุรกิจอื่นๆ มีแต่รายใหญ่ทำตลาด คุณจะมองยังไงครับ มองว่าเค้าเป็นคู่แข่งหรือคู่ค้า ถ้าคุณกำลังแล่นเรืออยู่ใกล้ๆ เรือคู่แข่งคุณ แล้วบังเอิญเจอปลาตัวใหญ่มาก คุณจะทำยังไงระหว่าง ใช้พลังที่มีทั้งหมดกันท่าไม่ให้คู่แข่งมาแย่งจับปลา หรือร่วมมือกับคู่แข่งช่วยกันจับปลาแล้วแบ่งปลากันกิน ถ้าคุณสู้กับคู่แข่งก่อน คุณอาจจะชนะแล้วปล่อยปลาดีๆ หลุดมือไปก็ได้นะครับ

3. คิดให้ต่าง เล่าเรื่องให้เก่ง ภาพลักษณ์สำคัญกว่าสินค้าจริง
สินค้าใหม่ในโลกนี้นับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ครับ ถ้าสังเกตให้ดีจะมีแต่สินค้าเดิมๆ แล้วเอามาเล่าใหม่ ความรู้ ทฤษฎีในโลกนี้มีแต่เรื่องเดิมๆ ที่เอามาเล่าใหม่ครับ ทุกอย่างอยู่ในแก่นเดียวกันหมด แค่ทำให้มันแตกต่างด้วยมุมมองและการเล่าเรื่อง น้ำส้มคั้นจากสวนเดียวกัน ใส่ขวดขายในตลาดสดกับใส่แก้วชั้นดีขายในโรงแรม ก็ราคาต่างกันใช่มั้ยครับ และคุณก็คงไม่คาดหวังว่าลูกค้าในโรงแรมจะโวยวายว่าน้ำส้มแพงมากไปใช่มั้ยครับ

4.     เลือกทำในสิ่งที่ยาก
คำว่ายากหมายถึงความชำนาญ ประสบการณ์ หรืออะไรก็ตามที่ดีและเลียนแบบยาก ข้อดีของการทำสิ่งที่ยากมีข้อเดียวเลยคือ คู่แข่งน้อยเพราะเลียนแบบยาก ยิ่งเราเก่งในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยากมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีคู่แข่งน้อยเท่านั้น แล้วเราก็เรียกค่าตัวได้เยอะกว่าเดิม เพราะเป็นเช่นนี้เพชรจึงมีราคาสูงกว่าหิน

5.     ใช้ระบบอัตโนมัติมาแทนคนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้มากที่สุด
สิ่งที่เสี่ยงคือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ระบบอัตโนมัติคือสิ่งที่ควบคุมได้ หากคุณสามารถใช้โปรแกรมส่งเมลแทนการจ้างพนักงานส่ง ใช้ระบบรับเงินแทนการให้แมสเซนเจอร์วิ่งไปรับเช็ค คุณจะลดความเสี่ยงด้านคนได้มากทีเดียว เรื่องนี้คนทำโรงงานจะเข้าใจดี ถ้าเป็นไปได้ ไม่อยากจ้างคนงานถ้าไม่จำเป็น เพราะปวดหัวมาก ไม่ใช่แค่เพราะทำงานไม่เต็มที่ แต่แรงงานบางอย่างมีจำนวนจำกัด นอกจากแข่งกันแย่งลูกค้าแล้ว โรงงานเหล่านี้ยังต้องแข่งกันแย่งลูกจ้างอีกด้วย

เมื่อคุณมีอย่างน้อย 1 จาก 5 ข้อนี้ คุณก็สามารถออกไปเผชิญยุทธจักรแห่งธุรกิจได้แล้วครับ

#KAL #YESCLUB
#BUSINESS #SME #SMALL BUSINESS 

5 สเตปเทพ ทำธุรกิจในยุค Gen Y

http://www.yesclubbusiness.com/2014/08/5-gen-y.html

ธุรกิจตัวเบาสำหรับคนยุคนี้

http://www.yesclubbusiness.com/2014/08/blog-post_70.html

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

คู่แข่ง VS คู่ค้า

คู่แข่ง VS คู่ค้า



เมื่อวานมีโอกาสไปเดินเจเจ อากาศร้อนมากๆ คนก็เยอะ คนดูคึกคักกันดีมากทั้งคนไทยทั้งต่างชาติ (คนจีนเยอะมากแล้วตอนที่รอคุณแฟนซื้อเสื้ออยู่ ก็สังเกตเห็นว่ามีกลุ่มนักเรียน นักศึกษารวมกลุ่มกันมาเล่นดนตรีและร้องเพลงเพื่อให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและน่ารักมากๆ แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลยครับ ประเด็นคือว่าพอมีหลายกลุ่มที่ทำกิจกรรมเดียวกันเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือการแข่งขัน และไม่ใช่การแข่งขันธรรมดาด้วย เพราะว่าทั้งหลายๆกลุ่มนั้นต้องการเป็นที่สนใจและให้คนเข้ามาบริจาคและเป็นเป้าหมายเดียวกันกับกลุ่มลูกค้าเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แต่ละกลุ่มเริ่มจะร้องเพลงดังมากขึ้นเพื่อให้เป็นจุดเด่นกว่าอีกกลุ่มและเป็นอย่างงี้อยู่นาน ทำคนแถวนั้นเริ่มมองด้วยสายตาไม่ดี



เป็นคุณจะทำยังไงต่อครับ ร้องให้ดังขึ้น หรือต้องทำอะไรที่แปลกขึ้นดีครับ?????



คำตอบทำให้ผมยิ้มได้เลย ทั้งสามกลุ่มที่อยู่พื้นที่เดียวกันขณะนั้น สองกลุ่มนั่งตรงข้ามอีกกลุ่มถือป้ายมา มารวมกลุ่มกันครับมาช่วยกันร้องเพลงเดียวกันและช่วยกันเล่นดนตรี จากที่ตอนแรกผมฟังไม่รู้เรื่องซักกลุ่ม ตอนหลังพอมาช่วยกันร้องและต่างคนก็ถือกล่องของตัวเองเอาไว้ จากที่เคยเป็นเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่อง กลับมาทำให้บรรยากาศดูดีขึ้นทีเดียว และทำให้คนที่เดินผ่านไปมารู้สึกสนใจและช่วยกันบริจาคมากขึ้นกว่าเดิม (เยอะ)



เป็นไปตามที่ทายกันมั้ยครับ 55 ตอนแรกผมก็นึกไม่ถึง แต่พอเห็นเลยรู้สึกทึ่งในความคิดนะครับ การทำธุรกิจก็เหมือนกันบางทีเราแข่งขันกัน เราพยายามตะโกนให้ดังกว่าอีกฝ่าย เราตัดราคากันเพื่อแย่งลูกค้าคนเดียวกัน สุดท้ายเจ็บกันถ้วนหน้าเผลอๆล้มหายตายจากกันไปอีกด้วย ทั้งๆที่อีกกลยุทธ์นึงคือการใช้คู่แข่งให้มากลายเป็นคู่ค้าหรือมาเป็นพันธมิตรกับเราและช่วยกันแข่งขัน อย่างเพื่อนผมที่เป็นตากล้องถ่ายรูป ปกติตัดราคาแย่งกันรับงานกับกลุ่มตากล้องอื่นๆ สุดท้ายลดราคากันแบบ 500 ก็เอาไปถ่ายงานรับปริญญา ไปๆมาๆก็เจ็บกันทั้งคู่สุดท้ายก็จบด้วยแบบเดียวกับกลุ่มน้องๆที่มาร้องเพลงขอรับเงินบริจาค มาช่วยกันทำงาน งานๆนึงใช้ตากล้องได้หลายคน และทำให้งานยิ่งดีขึ้นกว่าเดิมและสามารถเพิ่มมูลค่าให้ได้อีกด้วย เช่นเดียวกับคำนึงที่ผมได้ยินมาแต่เด็กคือ “if you can’t beat them, join them” ถ้าแข่งกันไม่ได้ก็ร่วมกันซะเลยครับ ง่ายดี



บางทีการแข่งขันมีสองด้านหนึ่งคือเรามองคู่แข่งคือคู่แข่ง สองคือเรามองคือคู่ค้าและช่วยกันบางทีอาจจะ win-win มากกว่าก็ได้นะครับแล้วคุณเองมองคู่แข่งเป็นแบบไหน??



Mr. N



#Yesclub #คู่แข่งธุรกิจ #คู่ค้าธุรกิจ #กลยุทธ์ธุรกิจ

5 เคล็ดลับในการเริ่มธุรกิจแล้วไม่เจ๊ง จาก Richard Branson


การเริ่มธุรกิจนั้นไม่ยากครับ แค่ลงมือทำ แป๊ปเดียวก็เริ่มได้แล้ว แต่ที่ยากคือ เริ่มธุรกิจแล้วทำให้มันอยู่ได้ มีกำไร และ ไม่เจ๊ง.. ที่ผ่านมาก็มีหลักการมาจากหลายนักธุรกิจชื่อดัง และ ทฤษฎีมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาในแนวทางคล้ายๆกัน ตามที่เรียนกันมาในด้านการบริหารธุรกิจ
สำหรับ Richard Branson ผู้ที่ถือว่าเป็น 1 ในผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และ เป็นผู้ที่ทำธุรกิจที่ค่อนข้างจะแตกต่างจะที่คนอื่นๆทำ ซึ่งเค้าได้บอกเคล็ดลับในการเริ่มธุรกิจไว้ 5 ข้อด้วยกันครับ

1. If you don't enjoy it don't do it (ถ้าไม่สนุก อย่าทำ)
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยครับ ที่เค้าให้ความสำคัญมากที่สุด ถ้าธุรกิจอะไรที่คุณทำแล้วไม่ทำให้คุณสนุก หรือ มีความสุขไปกับมัน อย่าทำดีกว่าครับ เพราะการเริ่มธุรกิจ ไม่มีจุดจบ คุณต้องทำมันไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้ เพราะฉะนั้น เลือกสิ่งที่คุณชอบ ที่คุณรัก และ คุณจะมีความสุขไปกับมัน

2. Be Innovative - Create something different (สร้างสรรค์ และ แตกต่าง)
การที่จะทำธุรกิจให้อยู่รอดได้นั้น ต้องแข่งขัน กับ คู่แข่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ หรือ การตลาดการสร้างแบรนด์ เพราะฉะนั้น คุณต้องมีอะไรที่ใหม่ และ แตกต่างจากคนอื่นที่เป็นอยู่และต้องมั่นใจว่าคุณมีดีกว่าคนอื่น หากสินค้าเหมือนกัน ก็ทำให้บริการแตกต่างและดีกว่า

3. Pride of association works wonders (สร้างความภูมิใจในที่ทำงาน)
เนื่องจากการทำธุรกิจ คือการรวมการทำงานของกลุ่มคน คุณต้องมีพนักงานและเพื่อนร่วมงาน เพราะฉะนั้น คุณต้องสร้างสภาพการทำงาน สิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ทำให้ทุกคนที่ทำงานกับคุณรู้สึกมีความสุขและพอใจกับงานที่ได้ทำ เมื่อพนักงานมีความสุข ทุกๆอย่างที่เค้าทำออกมาจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของคุณ

4.Lead by listening ( เป็นผู้นำด้วยการฟัง ไม่ใช่สั่ง)
ผู้นำที่ดี คือ ผู้ฟังที่ดี ออกไปฟังความคิดเห็นจากพนักงาน จากลูกค้า จาก supplier และ ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ โดยเฉพาะจากทีมงานของคุณ คุณยิ่งต้องฟังเค้าให้มาก ให้เค้าออกความเห็น และเคารพในสิ่งที่เค้าจะบอกคุณ สิ่งที่ไม่ควรทำคือ สั่ง สั่ง สั่ง คุณต้องทำให้พนักงานของคุณมีความภูมิใจในการทำงาน กล้าคิด กล้าแสดงออก แล้วเค้าจะสามารถดึงศักยภาพของเค้าออกมาใช้ได้อย่างดีที่สุด อย่าวิจารณ์คนอื่น อย่าใช้อารมณ์ในการทำงาน และ ชม คนที่ทำงานดีบ่อยๆ

5. Be Visible (อย่าอยู่แต่เบื้องหลัง ต้องออกหน้าด้วย)
ผู้นำองค์กร ไม่ควรทำงานจากหลังโต๊ะทำงาน เพียงอย่างเดียว แต่ควรที่จะลงไปทำงาน ตรวจงาน หรือ รับลูกค้า พูดคุยกับลูกค้า และ พบกับพนักงานอยู่ตลอดเวลา คุณต้องไม่ทำให้คุณเป็นคนที่หาตัวยาก ต้องมีช่องทางให้เข้าทุกง่าย บางครั้งคุณจะพบว่า คุณจะได้ไอเดีย และ ข้อคิดดีๆมากมาย เพื่อมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจของคุณ จากการที่คุณไปคุยกับพนักงาน หรือ ลูกค้าของคุณเอง
เป็นอีก หนึ่งแนวคิดที่น่าสนใจจากประสบการณ์โดยตรง จากธุรกิจจริงๆ ของนักธุรกิจระดับโลก ที่สามารถนำไปใช้ได้กับธุรกิจในทุกๆระดับนะครับ

ได้ข้อคิดแล้วลองไปปฏิบัติดูนะครับ ได้ผลยังไงก็มาแชร์กันบ้างนะครับ
ARA
‪#‎YESClub‬ ‪#‎Entrepreneur‬


-----------------
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

5 Tips สู่ความสำเร็จ สำหรับผู้ประกอบการ จาก Sir Richard Branson
http://goo.gl/gnonyq 
 
5 สเตปเทพในการทำธุรกิจ ยุค Gen Y
http://goo.gl/Y5js7N

 

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

ใครเป็นใครในตลาดส่งออก



เราได้ยินกันมานักต่อนักว่าการส่งออกคิดเป็น 60%ของ GDP ประเทศ แปลว่าประเทศเราต้องใหญ่มากๆ เป็นที่รู้จักสุดๆ ในตลาดต่างประเทศ แต่จริงแล้วก็ไม่ถูกซะทีเดียวครับ  เพราะมูลค่าการค้าขายระหว่างประเทศของทั่วโลก มีไทยเราไปเกี่ยวแค่ 1% เท่านั้นเอง ถือว่าเราเล็กมากครับในตลาดโลก
ในเมื่อเราเป็นตัวเล็กๆ ในตลาดโลกแล้ว เราก็ควรดูลู่ทาง และรู้จักผู้เล่นในตลาดก่อนออกไปเผชิญโลกกว้าง วันนี้ผมขอเขียนเกี่ยวกับธุรกิจส่งออกแบบภาพกว้างว่าใครเป็นใครในตลาดโลกบ้าง

ผู้ผลิตรายใหญ่
หนีไม่พ้นประเทศจีนครับ ผลิตได้แทบทุกอย่าง แต่จีนจะผลิตได้ดีในสินค้ากลุ่มอิเลคทรอนิค และเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนสินค้าอื่นๆ ได้แต่ปริมาณ คุณภาพยังสู้ที่อื่นไม่ได้ สินค้าคุณภาพสูงมีผู้ผลิตประจำคือ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ในส่วนสินค้าเกษตรสหรัฐ บราซิลและประเทศในกลุ่มละตินอเมริกา เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ อาจจะงงแต่เป็นเรื่องจริงที่สหรัฐส่งออกข้าวโพดและฝ้ายเป็นอันดับต้นๆ ของโลกครับ

ผู้ผลิตรายเล็ก
เป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น ไทย อินโดนีเซีย เวียตนาม ละตินอเมริกา เช่น ชิลี อาร์เจนติน่า อิหร่าน กลุ่มเหล่านี้มีศักยภาพในการผลิตดี เนื่องจากต้นทุนไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว แต่สามารถผลิตได้มีประสิทธิภาพอีกด้วย สินค้าที่ผลิตได้ดี ได้แก่ สินค้าเกษตร อุตสาหกรรมสิ่งทอ รถยนต์

ลูกค้าขาใหญ่
สหรัฐฯเป็นประเทศบริโภคอันดับ 1 ของโลก ไม่แปลกที่เค้าจะนำเข้าสินค้าเป็นอันดับ 1 เช่นกัน สินค้าที่สหรัฐนำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นของราคาถูก สังเกตได้จากห้างดังๆ อย่าง Walmart มีผลประกอบการดีขึ้นทุกปี นอกจากนั้นยังมีประเทศในยุโรปที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง รัสเซีย ก็เป็นลูกค้าในกลุ่มนี้เพราะขาดความสามารถด้านการผลิตในสินค้าบางประเภท แต่มีเงินหนา จีนและญี่ปุ่นก็ถือเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ด้วยเหมือนกันครับ

เทรดเดอร์เจ้าตลาด
เป็นประเทศที่เก่งด้านการซื้อมาขายไป จัดการโลจิสติกส์และมีการบริการด้านการเงินระหว่างประเทศที่ครบสมบูรณ์แบบ ในแถบเอเชียก็มีฮ่องกง สิงคโปร์ ตะวันออกกลางมีดูไบ และในยุโรปก็คือเนเธอร์แลนด์

กลุ่มตลาดใหญ่เกิดใหม่
เป็นการรวมกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพคล้ายๆ กัน ดูจากจำนวนประชากร ขนาดเศรษฐกิจต่อบุคคลที่ยังไม่โตมาก และมีทรัพยากรรวมถึงปัจจัยการผลิตครบ ได้แก่ ประเทศในอาเซียน (AEC), ประเทศกลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีนและแอฟริกาใต้), กลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกา และละตินอเมริกา

ในเมื่อเรารู้ว่าประเทศไทยส่งออกมากมายขนาดนี้ เรายังมีขนาดแค่ 1 เปอร์เซนต์ นั่นหมายความว่ามีโอกาสอีกเยอะมากจะขยายสินค้าไทยไปสู่ตลาดโลก ผมเคยคุยกับคนสิงคโปร์ เค้าบอกว่าประเทศเค้าขาดไทยไม่ได้ เพราะไม่มีใครผลิตให้ แต่ประเทศไทยเราเอง กลับไม่ทำตลาดเอง ผมได้แต่หวังว่าจะมีคนไทยทำธุรกิจเทรดดิ้งให้กับสินค้าไทยมากขึ้นในอนาคตนะครับ

#KAL
#YESCLUB #INTERTRADE #TRADING #EXPORT

ธุรกิจนำเข้าส่งออก เริ่มต้นง่ายๆ ได้เอง

http://www.yesclubbusiness.com/2014/08/blog-post_63.html


ขุมทรัพย์ของบริษัทเทรดดิ้ง 

http://www.yesclubbusiness.com/2014/08/blog-post_36.html



วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

มาเริ่นต้นธุรกิจทุนน้อยกันเถอะ



ตอนผมทำงานประจำอยู่ ผมฝันอยากทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ทุกธุรกิจที่อยากทำต้องใช้เงิน ความฝันนั้นจึงตกไป เพราะปัญหาเรื่องเงินทุน คิดว่านี่เป็นปัญหาหลักของผู้เริ่มต้นธุรกิจ ตอนนี้ผมหลุดมาแล้วเพราะเรื่องทุนไม่ใช่ประเด็น

ขอพูดเลยนะครับ ถ้าเรายังติดอยู่กับเรื่องไม่มีเงินทุน เราจะไม่ออกจากวังวนเดิมที่สุดท้ายก็ไปตกที่คำว่า “ไม่มีทุน” สุดท้ายชีวิตนี้เราก็จะไม่ได้เริ่มอะไรเลย แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดเป็นหาธุรกิจที่ใช้ทุนน้อย เราจะคิดอะไรได้ออกอีกเยอะขึ้นนะครับ

ผมมีไอเดียและคิดว่ามันเป็นอะไรที่ใช่ เพราะไม่ว่าจะยุคนี้หรือยุคไหน ก็มีแค่สามแนวทางนี้เท่านั้น ที่ทำให้คนไม่มีอะไร พลิกชีวิตเป็นคนรวยได้

แนวทางแรกทำธุรกิจขายแรง เบสิกสุด ใกล้ตัวสุด เราก็รู้ๆ กันอยู่ แต่เราไม่อยากทำมากที่สุด เพราะมันอาจจะดูสิ้นคิดและไม่เท่

ธุรกิจนี้พูดง่ายๆ มันก็คือการรับจ้างผลิต ยกตัวอย่างเจ้าของธุรกิจบ้านหอมเทียน ผู้ส่งออกสินค้าเทียนหอมไปทั่วโลก มูลค่าธุรกิจเป็นร้อยล้าน ก็เริ่มจากรับจ้างผลิตโดยขอเงินจากลูกค้าล่วงหน้าเพื่อมาสั่งซื้อวัตถุดิบ เพราะตัวเองไม่มีเงินสักบาท มีแต่ความสามารถในการทำเทียนอย่างเดียว จากนั้นเค้าก็มีออเดอร์เข้ามาเรื่อยๆ เพราะมีคนเห็นสินค้าและชอบสินค้าของเขา ปัจจัยแห่งความสำเร็จอยู่ที่สร้างผลงานออกมาเป็นตัวอย่างให้ชาวโลกเห็น จากนั้นรับออเดอร์ก่อนแล้วค่อยเริ่มผลิตครับ

แนวทางที่สอง ธุรกิจขายคอนเนคชั่น หรือเป็นนายหน้านั่นเองครับ
นายหน้ามีหลายแบบครับ

เป็นนายหน้าให้บริษัทใหญ่อยู่แล้ว เช่น ขายประกัน ขายตรง ขายที่ดิน ขายคอนโด ฯลฯ เศรษฐีเกิดใหม่จากตรงนี้เยอะมากนะครับ บางคนอาจจะขอแค่เริ่มเพื่อหาทุนไปทำธุรกิจ แต่สุดท้ายแล้วไม่ได้เริ่มเพราะแค่รายได้จากตรงนี้ก็ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว

ทำธุรกิจซื้อมาขายไปก็ถือว่าเป็นนายหน้าครับ ถ้าทำโดยไม่เก็บสต็อก มีออเดอร์ก่อนแล้วค่อยไปซื้อของมาขาย ซึ่งเราแค่เป็นตัวแทนไปหาออเดอร์จากลูกค้าเสร็จแล้วค่อยสั่งสินค้าเข้ามาขาย ก็ทำได้ครับ

แนวทางสุดท้าย ธุรกิจขายสมอง หรือ การสร้างสรรค์ผลงานที่เกิดจากความคิดตัวเอง เช่น การเขียนหนังสือ ทำสัมมนา อบรม หรือเป็นที่ปรึกษา พวกนี้ถือว่าขายความสามารถตัวเอง ก็เป็นธุรกิจที่ไม่ลงทุนเงินเยอะเช่นกัน

การสร้างแบรนด์ก็ถือว่าเป็นการขายสมองครับ เพราะเราเริ่มจากไม่มีอะไร และค่อยๆ หาตลาดเราให้เจอ สื่อสารออกไปให้เราเป็นที่รู้จัก โดยเราอาจจะใช้ทุนนิดหน่อยในการโปรโมต แต่เมื่อได้ออเดอร์แล้วก็ค่อยเริ่มลงมือทำสินค้าเป็นจริงเป็นจัง

การนำสินค้าที่ไม่ใช้แล้ว ต้นทุนถูก อย่างเช่น ของเหลือใช้ มาตกแต่งออกแบบให้มีความทันสมัยน่าใช้ ก็ถือเป็นการเริ่มธุรกิจที่แทบไม่ต้องใช้ทุนเยอะเลย

โดยส่วนตัวผมทำธุรกิจเทรดดิ้ง ส่งออกซื้อมาขายไปแนวทางที่สอง เพราะตนเองไม่ถนัดผลิตสินค้า ผมใช้สินค้าตัวอย่างถ่ายรูปโพสต์บนเว็บไซต์ต่างๆ เมื่อมีลูกค้าสนใจสั่งซื้อ จึงจะไปสั่งโรงงานให้ผลิตอีกที ไม่ต้องแบกสต็อกเอง ที่เราต้องลงทุนคือการทำตลาดให้เข้าถึงลูกค้าให้ได้ ซึ่งใช้ทุนน้อยมากเมื่อเทียบกับการซื้อสินค้ามาสต็อกเอง

หวังว่าจะเป็นไอเดียที่ดีสำหรับเพื่อนทำธุรกิจหรือกำลังจะเริ่มนะครับ

มีอะไรก็ฝากข้อความมาคุยทักทายหรือแชร์กันได้ครับ

#KAL

#YESCLUB #Business #export #trading 

เงินทุนสำหรับเริ่มทำธุรกิจมีกี่ก้อน
http://www.yesclubbusiness.com/2014/09/blog-post.html

5 กับดักที่ทำให้คนที่เพิ่งออกมาทำธุรกิจตัวเองล้มเหลว 

http://www.yesclubbusiness.com/2014/08/5.html

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

15 Media Trends in Thailand


สรุปประเด็นหลัก สื่อในไทยสำหรับปี 2014 เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการทำงาน หรือ ทำธุรกิจ สำหรับทุกๆคนครับ

1. ปี 2014 ภาพรวม มีการใช้เงินโฆษณากันเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อยครับครับ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองเริ่มนิ่งมากขึ้น Unilever ใช้เงินมากที่สุด รองลงมาเป็น Toyota

2. สื่อที่ไปในทิศทางที่ดีขึ้น คือ TV, Online, สื่อนอกบ้าน พวกจอ LED ต่างๆ สื่อออนไลน์ ถึงจะเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ก็ยังสู้สื่อหลักๆอย่าง TV ไม่ได้ครับ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่

3. สื่อที่แย่ลง ได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โรงหนัง เพราะโดยกระแส Internet และ Social network แต่หากจะเข้าถึงกลุ่มคนทั่วไปในระดับ Mass หนังสือพิมพ์ กับ นิตยสาร ก็ยังเป็นสื่อหลักที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ

4. สื่อทีวี ยังเป็นสื่อหลักที่เข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด ถึงแม้จะมี TV Digital มาแล้ว แต่ TV ช่องหลักก็ยังเป็นที่นิยมมากที่สุดเช่นเดิม คือ ช่อง 3 กับ 7 , ช่อง Digital ที่มาแรงก็คือ Workpoint TV, ช่อง 8 RS และ Thairath TV ครับ

5. ราคาโฆษณาของทีวี ถูกลงครับ เพราะมีช่องมากขึ้น มีช่อง digital เพิ่มขึ้นอีก กว่า 23 ช่อง และ ไหนจะ cable TV อีก.. แต่ราคาของช่อง 3 ก็ยังไม่ลงมากนักนะครับ ราคาต่อนาทีแพงสุด ช่องปกติอยู่ที่ 4-5 แสนบาทต่อ นาที / ช่องใหม่ๆ อยู่ที่ 2-3 แสนบาท แนวโน้มน่าจะลดลงอีกนะครับ เพราะช่องเยอะเหลือเกิน คงต้องแย่งกันน่าดู

6. ป้าย LED ต่างๆมีเยอะขึ้น ในกทม. น่าจะเกือบ 200 จุดได้ ราคา ต่อเดือนก็แพงเอาเรื่องอยู่นะครับ ตั้งแต่ 150,000 - 600,000 บาท ส่วนใหญ่ต้องซื้อเป็น package แต่ก็ได้ผลดี โดยเฉพาะตอนรถติด เป็นจุดที่ดึงสายตาได้ดีมากๆ

7. ป้ายตามต่างจังหวัด ตามหัวเมือง เป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะการขยายตัวของห้างฯ และ เศรษฐกิจ และ AEC

8. BTS ยังเป็นสื่อยอดฮิต สำหรับ กลุ่มเป้าหมาย คนกรุงเทพ วันๆนึงมีคนใช้ BTS ประมาณล้านกว่าคน สื่อที่ดี น่าจะเป็น ทีวีในขบวนรถ หรือ ป้ายแต่ละสถานี ราคาอย่างต่ำก็ 2 แสน บาท ต่อเดือนนะครับ ส่วนใหญ่ถ้าในขบวนคิดเป็นตู้โบกี้ ถ้าจะ ติดด้านนอกทั้งขบวนก็เตรียมเงินไว้สักครึ่งล้าน ต่อเดือนนะครับ สถานีที่คนเยอะๆ ก็พวก สยาม อโศก อนุสาวรีย์ หมอชิต

9. MRT วันๆนึงก็มีคนใช่ประมาณ 3-4 แสนคน สถานีที่คึกคักที่สุดคือ อโศก เงียบเหงาที่สุด เป็นคลองเตย ราคาสื่อ ถูกกว่า BTS เล็กน้อยครับ แต่ก็ยังเป็นที่นิยม

10. ป้าย Billboard ยังดีอยู่ครับ ราคาไม่ตก มีแต่ขึ้นไปทุกวัน ทุกวัน เหมาะสำหรับ กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนขับรถ บนถนน เราเลยเห็นโฆษณารถเยอะหน่อยตามป้ายพวกนี้

11. Internet มาแรงทีสุด แซงทุกๆสื่อ เพราะคนใช้ net ปัจจุบันมีกว่า 36 ล้าน User, กลุ่มที่ใช้เยอะสุดก็ ช่วงวันรุ่นจนถึงคนทำงาน ใช้ผ่าน มือถือมีการเติบโตสูงที่สุดครับ แต่เอาจริงๆก็ใช้สลับไปมา คอมฯ มือถือ tablet

12. Facebook มี 24 ล้าน, Youtube เกือบจะล้านละครับ, IG ล้านกว่าๆ น่าจะถึง 2 ล้านได้: วัยรุ่น มักจะเล่นเน็ตช่วง 2 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน ส่วน คนทำงานผู้ใหญ่เล่นช่วงเช้า เที่ยง

13. โฆษณาที่มาแรงที่สุดใน Online ในปีหน้าน่าจะเป็น Youtube เพราะเพิ่งเปิดให้มีการโฆษณาได้ ที่เห็นลงๆกันอยู่หน้าแรก ก็ราคาวันละ 5 แสนได้นะครับ

14. LINE มีคนใช้ทั่วโลก 400 ล้านคน ในไทยก็ 24- 25 ล้านได้ . การทำ Sticker แต่ละครั้งใช้เงิน 2-3 ล้านบาท และ ถ้าอยากได้ ตัวการ์ตูนของ LINE ก็เพิ่มเงิน เป็น 2-3 เท่า แล้วแต่ว่าจะใช้ตัวไหนครับ Cony, Brown, Moon เอาราคา คูณ 3 เลยครับ

15. Ads network ที่ชอบไปโผล่ตามเวบต่างๆ เวลาเราเข้าไปในเวบไหน มันก็จะตามเรามา ก็เป็นที่นิยมอยู่เหมือนเดิม แต่อาจจะมีลูกเล่นมากขึ้น และ การทำ SEO เพื่อให้ขึ้นใน search ของ google ก็ยังมีการทำอยู่เช่นกันครับ

จะโฆษณา หรือ จะสื่อสารอะไรให้ถึงลูกค้า เลือกอันที่ดี ที่เหมาะกับเรา และ เข้าถึงลูกค้าให้ได้จริงๆนะครับ อย่าทำไปแบบเท่ห์ สื่อสมัยนี้มันแพง

ใครมีสื่ออื่นๆ ใหม่ๆ มาแนะนำ เชิญได้นะครับ หรือ อยากรู้ตัวไหนเป็นพิเศษถามมาได้ครับ ถ้าผมทราบจะบอกให้ครับ

ARA
‪#‎YESClub‬ ‪#‎Media‬

12 วิธีการลดหย่อนภาษีกันอย่างง่ายๆ

12 วิธีการลดหย่อนภาษีกันอย่างง่ายๆ





สำหรับคนทำงานประจำหรือผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ หากมีรายได้เข้ามาในกระเป๋าเรา ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้กับทางสรรพากร ไม่ต้องหาทางไปโกงเค้า เพราะส่วนใหญ่แล้วเค้าเจอแน่ๆแล้วก็อายุความมีย้อนหลังไปได้หลายปี จึงไม่คุ้มเท่าไหร่ถ้าจะไปหนีภาษี แต่ถ้าลดหย่อนภาษีนี่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นการเอาเงินภาษีคืนที่เราจ่ายคืนไปเอาคืนมา ซึ่งถ้าวางแผนดีๆปีๆนึงก็ได้หลายตังค์อยู่นะครับ เรามาดูกันดีกว่าว่าทำยังไงได้บ้างครับ



1. หักค่าใช้จ่ายส่วนตัว 30,000 บาท ทางสรรพากรใจดีลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้ถึง 30,000 บาทไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไทยครบ 180 วันหรือไม่ ส่วนนี้จะได้ลดหย่อนทุกคน

2. หักค่าใช้จ่ายลดหย่อนคู่ครองซึ่งต้องเป็นคู่สมรสที่ถูกกฎหมายนะครับ จะได้ลดหย่อนอีก 30,000 บาท

3. ถ้ามีลูกก็จะได้ลดหย่อนอีกคนละ 15,000 บาท ได้สูงสุด 3 คน และลูกที่จะได้สิทธิลดหย่อนต้องอายุไม่เกิน 25 ปี

4. ได้ลดหย่อนการศึกษาลูกอีก 2,000 บาทต่อคน ได้สูงสุด 3 คนเช่นกัน

5. ประกันชีวิตที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปี ได้ลดหย่อนสูงสุด 100,000 บาท

6. ประกันชีวิตแบบบำนาญ ได้ลดสูงสุด 200,000 บาท

7. กองทุน LTF/RMF ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของรายได้รวม

8. เงินกองทุนเลี้ยงชีพ ได้ไม่เกิน 500,000 บาท

9. ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 100,000 บาท ถ้าเกิดมีการผ่อนบ้าน คอนโดจะเอาส่วนที่เป็นดอกเบี้ยมาลดหย่อน ไม่ใช่ส่วนที่ผ่อนไปนะครับเพราะผ่อนไปมีเงินต้นติดไปด้วย

10. เงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม มากสุดอยู่ที่ 750 บาท/เดือน ปีนึงก็ 9,000 บาท

11. เงินลดหย่อนบิดามารดา กรณีบิดามารดาอายุเกิน 60ปีและไม่มีรายได้ ได้ลดหย่อนท่านละ 30,000 บาท

12. เงินบริจาคการศึกษา มีสิทธิหักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินคงเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

13. เงินบริจาค เมื่อหักลดหย่อนต่าง ๆ หมดแล้ว เหลือเท่าใดให้หักลดหย่อนได้อีกสำหรับ เงินบริจาค เงินบริจาคที่หักค่าลดหย่อนได้นั้นผู้มีเงินได้ต้องบริจาคเป็นเงินให้แก่การกุศลสาธารณะ โดยหักได้ เท่าจำนวนเงินที่จ่ายจริงแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว

14. หากสามีภรรยาทั้งคู่มีรายได้เยอะ อาจลองเปรียบเทียบการแยกยื่นภาษีดู หรือว่าหากมีรายได้จากคนเดียวและมีการลงทุนในหุ้นด้วย อาจลองเอาคนที่ไม่มีรายได้เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นแทนเพราะเงินปันผลที่ได้มาจะได้เครดิตภาษีคืนได้อีก

15. เครดิตภาษีจากเงินปันผล (กรณีที่มีปันผลจากหุ้น)

หลักการลดหย่อนไม่ได้เอาเงินจำนวนนี้ไปลดหย่อนโดยตรงกับภาษีที่ต้องเสียนะครับ แต่เอาไปลดกับรายได้รวมที่เราได้ทั้งหมดทั้งปีครับ บางคนเข้าใจว่าลดหย่อนได้เท่านั้นเท่านี้เอาไปลบกับภาษีเลย อันนี้ไม่ใช่นะครับ เป็นยังไงบ้างครับ จะสิ้นปีกันแล้วยังไงอย่าลืมวางแผนลดหย่อนภาษีนะครับ



Mr.N



#yesclub #ลดหย่อนภาษี #วางแผนภาษี