วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
4 กลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจคุณอย่างง่ายๆ
4 กลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจคุณอย่างง่ายๆ
คนทำธุรกิจ 100 ทั้ง 100 อยากได้กำไรและสิ่งที่คิดกันตลอดก็คือจะทำยังไงให้ได้กำไรเยอะขึ้น จริงๆแล้ววิธีมีไม่กี่วิธีเท่านั้นที่จะเอามาใช้ได้ เมื่อก่อนตอนที่ผมทำงานประจำ ก็คิดสะเปะสะปะไว้เยอะ แต่หัวหน้าที่เป็น consultant จาก top 4 ของโลกเค้ามี framework ง่ายๆ ซึ่งผมเห็นแล้วชอบมาก ชอบเพราะมันง่าย และมันทำได้จริง
ในเมื่อ รายได้ – รายจ่าย = กำไร
ดังนั้นคุณจะเพิ่มกำไร คุณทำได้แค่ 2 วิธีเท่านั้น คือ หาทางเพิ่มรายได้ และ หาทางลดรายจ่าย เท่านี้จริงๆ และธุรกิจใหญ่ๆในโลกล้วนทำแค่นี้จริงๆไม่มีอย่างอื่นที่คุณจะทำได้มากกว่านี้ แต่ผมแตกย่อยให้คุณเห็นได้ชัดขึ้นครับ
หากคุณต้องการเพิ่มรายได้ คุณทำได้แค่ 2 วิธีเช่นกัน 1 ขึ้นราคา 2 ขายให้จำนวนเยอะขึ้น และการขายให้จำนวนเยอะขึ้น คุณก็ทำได้อีก 2 วิธีคือ ขายลูกค้าเก่าให้เพิ่มจำนวน เช่น ปกติใช้สินค้าคุณเดือนละ 1 อัน ก็เปลี่ยนหาทางให้เค้าใช้เดือนละ 2 อัน คุณก็จะขายได้มากขึ้น และอีกทางนึงก็คือ ขายลูกค้าใหม่ จากเดิมขายลูกค้าเก่าได้เดือนละ 1 อัน ตอนนี้คุณก็เพิ่มยอดขายได้อีกทางคือขาย 1 อันให้กับลูกค้าใหม่
ถึงตรงนี้แล้วคุณต้องการเพิ่มรายได้ คุณสามารถเลือกวิธีได้เลย ว่าจะ ขึ้นราคา ขายลูกค้าเก่าเพิ่มจำนวนชิ้น หรือหาลูกค้าใหม่ ตั้งโจทย์ได้ทีนี้คุณก็ค่อยหากลยุทธ์มาเติม
อีกขานึงคือ รายจ่าย อันนี้ไม่มีไรมากคุณลดรายจ่ายได้เมื่อไร กำไรคุณก็เพิ่มทันที แต่ในธุรกิจ การลดรายจ่ายวันนึงจะต้องถึงจุดสุด คือคุณไม่สามารถลดต้นทุนลดรายจ่ายได้มากกว่านี้อีกแล้ว และหากลดมากกว่านั้น คุณภาพจะเปลี่ยนและแน่นอนลูกค้าของคุณส่วนนึงอาจจะรับรู้ได้และหายไปครับ
สุดท้ายนี้ หากคุณต้องการเพิ่มกำไร ให้คุณทำ 4 ข้อนี้
1 ลดรายจ่าย
2 ขึ้นราคา
3 ขายลูกค้าเก่าเยอะขึ้น
4 หาลูกค้าใหม่ (และคงลูกค้าเก่า)
ง่ายมั้ยครับ? ลองเอาไปใช้กันดูครับ
Mr.N
วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
เข้าใจภาษี ตอนที่ 2 ใครมีหน้าที่ยื่นภาษีบ้าง
ตอนที่แล้วผมเล่าถึงที่มาที่ไปของภาษี รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับภาษี
หวังว่าท่านคงเข้าใจเกี่ยวกับภาษีมากขึ้นนะครับ วันนี้เราจะพูดถึงการเก็บภาษีของผู้มีรายได้
ว่าใครบ้างที่มีหน้าที่เสียภาษี ผมขอแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ประเภท คือ บุคคลธรรมดา และ
นิติบุคคล
บุคคลธรรมดา
คือคนที่มีตัวตน ของใครของคนนั้น
ถือเป็นหน่วยย่อยที่สุดที่จะต้องเสียภาษี
เพราะรายได้ที่จะใช้คำนวณภาษีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น แม้จะอยู่อาศัยด้วยกัน
หรือกินข้าวหม้อเดียวกันก็ตาม ตัวอย่างเช่น พี่น้องสองคนช่วยกันรับจ้างขับรถขนส่ง
คนนึงขับรถ อีกคนยกของ ถึงจะได้รับเงินค่าจ้างรวมกันก็จริง
แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องแยกรายได้เป็นของใครของมันอยู่ดี บุคคลธรรมดาจะรวมรายได้กันได้เฉพาะกรณีเดียวคือเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนกันถูกต้องตามกฎหมาย
รายได้ของทั้งสองคนจะนำมารวมกัน เพราะในทางกฏหมาย สามีภรรยาถือว่าเป็นคนๆ
เดียวกันนั่นเอง
บุคคลธรรมดาที่มีรายได้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกปี
ปีละหนึ่งครั้ง โดยใช้แบบฟอร์ม ภงด 91 สำหรับรายได้เฉพาะเงินเดือน หรือ ภงด 90
สำหรับรายได้มากกว่าหนึ่งประเภท โดยต้องยื่นเสียภาษีภายในไม่เกินเดือนพฤษภาคมของปีถัดไป
(รายได้ปีนี้ทั้งปี ยื่นเสียภาษีภายในพฤษภาคมปีหน้า)
ในส่วนของบุคคลธรรมดาจะมีการลดหย่อนภาษีที่หลากหลายตามการสนับสนุนของรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่อปี การจ่ายเงินอุดหนุนประกันสังคม
หรือการลดหย่อนสำหรับลูกกตัญญูที่เลี้ยงดูบิดามารดา
นอกจากนี้ยังมีค่าลดหย่อนที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนให้คนออมเงิน
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
การลดหย่อนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการซื้อประกันชีวิต ดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน
หรือการลดหย่อนเพื่อเสถียรภาพการลงทุนในประเทศ ซึ่งก็คือ LTF หรือแม้กระทั่งการลดหย่อนเพื่อจูงใจให้คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่สังคม
เช่น เงินบริจาคเข้ามูลนิธิ หรือทุนการศึกษาให้มูลนิธินั่นเอง
นิติบุคคล
แปลเป็นไทยว่าบุคคลที่เกิดขึ้นตามกฏหมาย
(ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ) นิติบุคคลนี้ก็คืออะไรที่เราคุ้นกันอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญ คณะบุคคล
หรือแม้กระทั่งกองทุนรวม หรือนิติฯ ในคอนโด ที่พวกเราคุ้นเคยกัน วัตถุประสงค์ที่ก่อตั้งนิติบุคคลขึ้นมาก็เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจการค้า
หรือบริหารงาน การลดความเสี่ยง บริหารจัดการรายได้
หรือแม้กระทั่งเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี
นิติบุคคลนี้ก็มีหน้าทื่ยื่นภาษีเงินได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา
โดยต้องรวมรายได้ทั้งปีในปีนี้ เพื่อยื่นภาษีภายในเดือนเมษายนปีหน้า
แต่ในส่วนนิติบุคคลจะมีรายละเอียดยิบย่อยกว่า เช่น ต้องส่งเอกสารระหว่างปีเพื่อเป็นข้อมูลว่าทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้เท่าไหร่
เป็นต้น แบบฟอร์มในการยื่นรายได้ของนิติบุคคลจะเรียกว่าแบบภงด 50 และภงด 51
ในตอนหน้าผมจะเล่าถึงรายได้ของแต่ละประเภทของบุคคลธรรมดาว่ามีอะไรบ้างนะครับ
#KAL #YESCLUB #TAX #VAT #ภาษี #ลดหย่อนภาษี #LTF #RMF
เข้าใจภาษี ตอนที่ 1
http://www.yesclubbusiness.com/2014/11/1.html
เปิดบริษัทต้องทำยังไง
ตอนที่ 1 ทำไมเราต้องเปิดบริษัท
http://www.yesclubbusiness.com/2014/11/1_18.html
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
เปิดบริษัทต้องทำยังไง ตอนที่ 1 ทำไมเราต้องเปิดบริษัท
เรื่องนี้อาจไม่เป็นปัญหาสำหรับใครหลายคนที่คิดจะทำธุรกิจขนาดกลางหรือใหญ่
เพราะท่านคงหนีไม่พ้นการเปิดบริษัท หรือท่านที่ตั้งใจจะทำธุรกิจให้ใหญ่โต
ก็คงตัดสินใจไม่ยาก แต่สำหรับ SME หรือพ่อค้าแม่ขายควรจะเปิดบริษัทดีมั้ย
ยังเป็นคำถามที่ค้างคาใจที่ต้องคิดกันต่อไป
ผมจึงเขียนเหตุผลสำหรับการเปิดบริษัทให้ท่านพิจารณาในตัวธุรกิจของท่านเองว่าควรเปิดบริษัทหรือไม่นะครับ
ซึ่งคำว่าบริษัทนี้ผมหมายถึงบริษัทเท่านั้น ไม่นับห้างหุ้นส่วนสามัญ จำกัด
หรือคณะบุคคล ลองดูแต่ละเหตุผลในการเปิดบริษัทและสถานการณ์ที่น่าจะเข้ากับท่านกันนะครับ
1.
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
ในบางธุรกิจลูกค้า คู่ค้าก็ต้องการความน่าเชื่อถือของเราก่อนจะติดต่อด้วย
รวมถึงการติดต่อขอเงินกู้จากธนาคารก็จะมีเครดิตดีกว่าการทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา
การมีบริษัทเป็นเสมือนหนึ่งเครื่องมือในการแสดงความน่าเขื่อถือ เพราะว่าอย่างน้อยคู่ค้าเราก็คิดว่าเราคงจริงจังในการทำธุรกิจมาระดับนึงแล้ว
ตอนที่ผมตั้งใจจะทำส่งออก สิ่งแรกที่ผมทำคือเปิดบริษัท
เนื่องจากการทำการค้าระหว่างประเทศลูกค้าหรือคู่ค้าคงไม่อยากทำธุรกิจด้วย
และในเมื่อผมตั้งใจจะทำมันจริงๆ ผมคงไม่อยากเจอเหตุการณ์ที่ว่าลูกค้ากำลังจะสั่งซื้อ
ผมตอบกลับไปว่าพร้อมทุกอย่าง แต่ขอเวลาไปเปิดบริษัทแป๊บนึง รู้สึกอย่างนี้มั้ยครับ
2.
เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงิน
หากบริษัทหนึ่งมีลงทุนหนึ่งล้านบาท
และกำลังจะปิดกิจการโดยมีหนี้สินอยู่สองล้านบาท เจ้าหนี้จะสามารถฟ้องเพื่อรับเงินกู้คืนเป็นจำนวนเท่าไหร่
ในตามกฏหมายบริษัทมีหน้าที่ชำระเงินได้ตามจำนวนทุนที่มีอยู่เท่านั้น
นั่นหมายความว่าหากเจ้าของลงทุนแค่ล้านเดียว เจ้าหนี้สามารถทวงเงินได้เท่านั้น บริษัทคือผู้ล้มละลาย
ไม่เกี่ยวกับเจ้าของ แสดงว่าการเปิดบริษัทถือว่าเป็นการจำกัดความเสี่ยงของผู้ถือหุ้นนั่นเอง
เราถึงเรียกว่าบริษัทจำกัดไงครับ (แต่บางกรณีเจ้าหนี้เราอาจจะให้ผู้ถือหุ้นหรือกรรมการเซ็นต์เอกสารอีกตัวเพื่อรับผิดเกินขอบเขตของบริษัทก็มี)
3.
เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ผมคิดว่าข้อนี้เป็นปัจจัยหลักที่ SME มองถึง การได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในที่นี้หมายถึง
การที่เราเสียภาษีโดยปกติ ไม่ใช่การเลี่ยงภาษีแต่อย่างใด
แนวคิดคือหากท่านทำธุรกิจในนามบุคลลธรรมดา ภาษีจะคิดจากรายได้ของท่าน
แล้วค่อยหักค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน แต่หากท่านเปิดบริษัท ภาษีจะคิดจากกำไรคงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายของท่านแทน
(สามารถอ่านรายละเอียดสิทธิประโยชน์ทางภาษีในบทความอื่นๆ ของเรา)
4.
เพื่อความโปร่งใสทางการเงิน
เหตุผลนี้สืบเนื่องจากเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีเนื่องจากรัฐ
ต้องการให้ประชาชนทำธุรกิจแบบโปร่งใส การทำธุรกรรมซื้อขายทุกครั้งจะต้องมีเอกสารประกอบ
เพื่อให้บัญชีเป็นผู้บันทึกและจัดทำงบรวมถืงยื่นภาษีแก่สรรพากรด้วย การทำเช่นนี้นอกจากจะเกิดความโปร่งใสต่อรัฐในการยื่นภาษีแล้ว
ยังโปร่งใสต่อภายในบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อ การขาย หรือการบริหารสินค้าคงคลังอีกด้วย
เรื่องเหล่านี้จำเป็นมากสำหรับบริษัทที่มีธุรกรรมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
5.
เปิดบริษัทเพื่อความโปร่งใสระหว่างผู้ถือหุ้น
หลายท่านอาจจะไม่ได้เปิดบริษัทเพียงคนเดียว คืออาจจะมีหุ้นส่วนที่นำเงินมาลงทุนด้วย
สมมติว่าท่านกับเพื่อนอีกสองคนรวมเงินกันทำธุรกิจ ท่านจะต้องมีเอกสารหลักฐานในการยืนยันชำระเงินเพื่อลงทุน
เงินก้อนนั้นอาจจะเก็บไว้ที่บัญชีของใครคนใดคนหนึ่ง หรือทั้งสามคน
หากเชื่อใจกันก็ดีไป แต่หากไม่เชื่อใจกัน
ท่านจะพบกับความยากลำบากในการขอดูเงินในบัญชีที่ใช้ไป การเปิดบริษัทเป็นการทำเอกสารโดยปริยายที่จะทำให้ท่านและหุ้นส่วนต่างวางใจว่าจะไม่มีการเข้าใจผิดในเรื่องเงินลงทุน
6.
เปิดบริษัทเพื่อสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับเป็นพิเศษ
ในส่วนของราชการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
หน่วยงานส่งเสริมการลงทุน หอการค้า หรือหน่วยงานอื่นๆ
มักจะให้ความสำคัญกับบริษัทมากกว่าบุคคลธรรมดา
การที่ท่านไปเข้าร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานเหล่านี้ ต้องมีบริษัทเป็นตัวยืนยัน
เพื่อท่านจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย
ผมเคยเจอเพื่อนท่านหนึ่งมีสินค้าที่ดีมากอยู่ในมือ เข้าร่วมกิจกรรมกับกรมฯ ทีไร
ไม่เคยได้ไปประกวดกับเขาในฐานะผู้เข้ารอบสุดท้าย
เนื่องจากตัวเขาเองไม่ได้จดทะเบียนเปิดบริษัทหรือนิติบุคคลใดๆ เลย
ที่เล่ามาทั้งหมดคือเหตุผลในการเปิดบริษัท คราวหน้าผมจะมาเล่าต่อถึงเหตุผลที่ไม่ควรเปิดบริษัทนะครับ
เพื่อให้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
#KAL #YESCLUB #TAX #COMPANY #SETUP #STARTUP
เข้าใจภาษี ตอนที่ 1
วิเคราะห์ธุรกิจด้วยสามเหลี่ยมมหัศจรรย์
วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
เข้าใจภาษี ตอนที่ 1
มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายท่านเข้ามาปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับภาษี
จากคำถามเหล่านั้นผมพบว่าหลายท่านยังเข้าใจสับสนระหว่างภาษีหลายๆ ขนิด จากการที่ผมเคยทำงานประจำ
เคยทำงานบริษัททางการเงิน และปัจจุบันทำธุรกิจส่วนตัว มีบริษัทเป็นของตัวเองนั้น
ประกอบกับเคยได้รับบทเรียนซึ่งเป็นค่าปรับทางภาษีจำนวนสูงพอสมควร
(ถือว่าเป็นค่าเล่าเรียน) ผมตั้งใจจะเขียนบทความนี้ให้ผู้อ่านได้เข้าใจเรื่องภาษีแบบง่ายที่สุด
และใช้คำบรรยายภาษากฏหมายให้น้อยที่สุด (หรือไม่ใช้เลย)
เพื่อให้บทความนี้เป็นคู่มือสำหรับท่าน เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
ก่อนอื่นต้องขอให้ท่านลืมเรื่องที่เคยรู้มาทั้งหมด
หรืออคติว่าผมจะรู้มากน้อยแค่ไหน กรุณาอย่าจับผิดอะไรผมเลย เพราะผมไมได้เรียนจบกฏหมายโดยตรง
ไม่สามารถตีความตามข้อกฏหมายได้
แต่เขียนจากมุมมองของผู้ที่ต้องทำตามหน้าที่ในกฏหมาย
และจะเขียนเท่าที่ผมเคยเจอและรู้มา
บทความนี้จะเหมาะสำหรับคนที่มีรายได้เป็นเงินเดือน เงินปันผลจากหุ้นหรือบริษัท
และรายได้จากการค้าขาย เป็นหลักขอให้อ่านตามผมไปทีละสเตป ผมจะเริ่มจากประเด็นหรือคำถามให้หายสงสัย
จากนั้นค่อยวาดแผนผังทางภาษีให้เข้าใจง่ายๆ แบบใหม่ให้
หากมีตรงไหนที่ท่านคิดว่าไม่เคลียร์ หรือผมเข้าใจผิด สามารถแชร์กันได้เลยนะครับ
1.
เราไม่ต้องยุ่งเรื่องภาษีได้มั้ย
ก่อนอื่นขอปรับทัศนคติของท่านก่อนเลยนะครับ ผมไม่อยากให้ท่านคิดว่าภาษีเป็นเรื่องของบัญชี
ที่ปรึกษา ธนาคาร หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ขายประกันหรือ LTF เลยครับ บางท่านก็เข้าใจว่ายังไงการเสียภาษีก็เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
แต่ไม่อยากทำเพราะยุ่งยาก สับสน ไม่ชอบตัวเลข หรือที่สำคัญ
กลัวทำผิดแล้วโดนสรรพากรสอบย้อนหลัง เรื่องนี้ แต่ครั้นจะมาศึกษา
เราก็เจอภาษากฏหมายที่เป็นภาษาที่เข้าใจยากจริงๆ (ไม่ว่าประเทศไหน)
ยิ่งทำให้เราไม่อยากทำไปอีก ผมอยากให้ท่านมองว่าภาษีก็เหมือนค่าไฟ ค่าน้ำ
ค่าโทรศัพท์ที่ท่านต้องเสียเป็นประจำ ในเมื่อรายได้เป็นของเราภาษีเป็นตัวทำให้รายได้เราลดลง
เหตุใดจึงต้องไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่น โดยการไม่ศึกษาด้วยตัวเองล่ะครับ
2.
ทำไมรัฐฯต้องเก็บภาษี
ไม่ว่าประเทศไหนก็ต้องการเก็บภาษีเพื่อเอาไปใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ
ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ
เหมือนท่านกำลังอยู่ในบ้านเช่าที่มีขนาดใหญ่ (ประเทศที่เราอาศัยอยู่)
เมื่อท่านมาอยู่อาศัย เจ้าของบ้านจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงท่าน
ค่าน้ำค่าไฟที่ท่านใช้ ใครจะจ่ายถ้าไม่ใช่ท่าน
เพราะฉะนั้นในเมื่อเราเกิดมาและอาศัยในประเทศไหนก็ตาม
เราก็ต้องมีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้ประเทศนั้น หากท่านย้ายบ้าน
ท่านก็ต้องไปยอมรับกฏของบ้านใหม่ (ประเทศอื่น) นั่นเอง
3.
ภาษีไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน
เพราะฉันมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องยื่นภาษี หรือไม่มีรายได้
ตามหลักการทั่วไปที่เราเข้าใจคือผู้ที่มีรายได้ก็ต้องเสียภาษี
เพราะถือว่าใช้ประโยชน์จากการอาศัยอยู่ในประเทศสร้างรายได้ รัฐจึงขอส่วนแบ่ง
ผู้ที่มีรายได้จึงต้องมีหน้าที่เสียภาษี เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐฯ
ก็เกรงว่าประชากรจะขี้เกียจจากการไม่ทำมาหากิน
ไม่อยากมีรายได้เพื่อจะไม่ต้องเสียภาษี รัฐฯ
จึงนำระบบภาษีอีกชนิดก็คือภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้
เก็บภาษีจากการใช้จ่ายด้วยอีกทางหนึ่ง ทุกบาทที่ท่านซื้อไป ไม่ว่าจะเป็นลูกอม 3
เม็ดบาท หรือ กระทิงแดงหนึ่งขวด ท่านก็ได้เสียภาษีให้รัฐโดยไม่รู้ตัวแล้ว บางท่านที่กำลังคิดว่าถ้าไม่มีรายได้
และไม่ได้ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือยื่นแล้วรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียแปลว่าไม่ได้เสียภาษี
ท่านอาจจะกำลังเข้าใจผิดก็ได้นะครับ
วันนี้ขอเล่าเพียงแค่นี้ก่อนนะครับ ตอนหน้าจะขอพูดถึงประเภทของบุคคลที่ต้องเสียภาษีว่ามีอะไรบ้าง
#KAL #YESCLUB #TAX #VAT #ภาษี #ลดหย่อนภาษี #LTF #RMF
ฤดู LTF และ
RMF เรามารู้จัก LTF และ
RMF กันครับ
เลือกกองทุน LTF อย่างไรดี
วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
TGIF! Thanks God, It’s Friday. วันหยุดเจ้าของกิจการ
สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันศุกร์วันสุดท้ายในการทำงานของสัปดาห์
หลายท่านที่ทำงานประจำก็มักจะโพสต์บนเฟสบุ๊คแบบเก๋ๆ ว่า TGIF (Thanks God!
It’s Friday.) เพราะตอนเย็นเราจะไปปาร์ตี้ พรุ่งนี้วันเสาร์จะไปช้อปปิ้งกับเพื่อนหรือแฟน
ตอนเย็นเราจะไปเมาอีกรอบ วันอาทิตย์จะไปเที่ยวเล่นที่ตลาดน้ำกับที่บ้าน บ่ายๆ
ก็ขอแวะนั่งชิวที่ร้านกาแฟ ถ่ายรูป อัพเฟส แล้วกลับบ้านไปพักผ่อน กลับมาอีกทีอ้าว
พรุ่งนี้วันจันทร์อีกและ ชีวิตก็จะวนเวียนอย่างนี้ บางท่านก็จะวนเวียนอีกแบบด้วยการรับลูก
ส่งลูก พาลูกไปเรียนพิเศษ ทำงานบ้าน ซักผ้า ตากผ้า รีดผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ฯลฯ
แต่สำหรับท่านที่อยากหาอะไรเพิ่มเติมให้กับตัวเองคงไม่หยุดอยู่แค่นี้
บางท่านที่ทำงานประจำแต่อยากหารายได้เสริม ก็จะใช้เวลาในช่วงวันหยุดไปหาลู่ทางทำเงิน
เช่น ศึกษาการลงทุนเล่นหุ้น หรือไปหาอสังหาฯ คอนโดดีๆ เอาไว้ปล่อยเช่า บางท่านที่ทำธุรกิจตัวเองควบคู่กันไปอยู่แล้ว
ก็ต้องออกไปขายของตลาดนัด เปิดร้านขายของ
ทำขนมส่งลูกค้า ฯลฯ สำหรับท่านที่คิดอยากออกมาทำธุรกิจของตัวเอง
วันหยุดก็เป็นวันที่ท่านมีความสุขเช่นกัน เพราะเช้าวันเสาร์จะเป็นวันที่จะเริ่มคิดจะทำอะไรเป็นของตัวเอง
อาจจะไปเข้าคอร์สอบรมสัมมนาเกี่ยวกับธุรกิจ เป็นต้น
บางท่านที่ยังทำงานประจำอยู่
อาจคาดหวังว่าจะสุขสบายเมื่อลาออกมาทำงานประจำ และคิดว่าหากได้ออกมาทำอะไรของตัวเอง
ก็คงมีเวลาว่างมากขึ้น สามารถแว้บไปเที่ยวเล่นได้แม้แต่วันทำงาน
ชีวิตจะไม่มีแล้วเช้าวันจันทร์ที่น่าเบื่อ สิ่งนี้อาจจะไม่ตรงตามที่คิดซะทีเดียวนะครับ
การออกมาทำธุรกิจของตัวเองโดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นนั้น มันไม่ง่ายอย่างที่คิด จะมีอะไรให้ทำเยอะกว่าจนท่านไม่มีเวลาวันหยุดเลย
การออกมาทำธุรกิจไม่มีอะไรสบาย ไม่มีเข้าออฟฟิศแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น สำหรับเจ้าของแล้ววันเสาร์อาทิตย์คือวันหยุดของลูกน้อง
แต่อาจจะไม่ใช่วันหยุดของท่าน ท่านมีเวลาเพื่อที่จะเคลียร์งานที่ท่านต้องใช้สมาธิ
คิดวางแผน หรือกระทั่งงานหลังบ้านที่จุกจิกและไม่สามารถทำได้ในช่วงวันธรรมดา เช่น
ทำบัญชี เช็คสต็อก ตอบอีเมล หรือแม้กระทั่งไปหาลูกค้า
นอกจากนั้นท่านยังต้องคิดว่าวางแผนต่อว่าสัปดาห์หน้าจะต้องทำอะไรอีกด้วย
สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ท่านทุกคนเจอ แต่หากท่านต้องเจอ
ก็ขอให้เตรียมตัวไว้ สิ่งที่ท่านต้องตัวในการออกมาทำธุรกิจคือ เตรียมเหนื่อย
เตรียมลำบาก และเตรียมรวย สิ่งที่ท่านเคยวาดฝันไว้นั้น มันจะเกิดขี้นได้หลังจากที่ท่านสามารถทำธุรกิจถึงจุดๆ
หนึ่งที่สามารถเอาตัวเองออกจากธุรกิจได้ โดยที่ธุรกิจของท่านยังดำเนินต่อไปได้หรือที่เราเรียกว่าอิสรภาพนั่นเอง
ไม่ว่าท่านจะทำงานประจำหรือทำธุรกิจ
เราทุกคนก็เป็นเจ้าของธุรกิจชีวิตของตัวเองทั้งนั้น
สิ่งที่คนประสบความสำเร็จทำต่างจากคนอื่น คือ พวกเขาใช้เวลาทำสิ่งที่ต้องทำเพื่อเป้าหมายของเขา
ในขณะที่คนอื่นไมได้ทำ ในหนึ่งสัปดาห์เราต้องเจออะไรกันเยอะแยะ
ก็ไม่แปลกใจที่เราจะดีใจเพราะเย็นวันศุกร์ถึงเช้าวันจันทร์
มันสั้นกว่าเช้าวันจันทร์ถึงเย็นวันศุกร์จริงมั้ยครับ TGIF! Thanks God,
It’s Friday.
#YES CLUB #KAL #BUSINESS STARTUP #บริหารเวลา
สินทรัพย์มีค่าที่สุดของคุณ
5 กับดักที่ทำให้คนที่เพิ่งออกมาทำธุรกิจตัวเองล้มเหลว
วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
4 วิธีอัพเดทโลกง่ายๆกับสิ่งใกล้ๆตัว
4 วิธีอัพเดทโลกง่ายๆกับสิ่งใกล้ๆตัว
พอดีมีโอกาสได้มาเดินห้างเล่น ทำให้ผมมีเวลาเดินอัพเดทอะไรต่างๆได้เยอะทีเดียว ผมว่าหลายๆคนคงชอบเหมือนผมที่จะคอยอัพเดทตลาด อัพเดทความเคลื่อนไหวของโลกใบนี้อยู่เสมอๆ และคงมีสถานที่หรือวิธีที่ต่างกันออกไปในการเข้าไปดูตลาด ไปดูคู่แข่ง หรือแค่อัพเดทชีวิตเฉยๆ
1. supermarket เป็นสิ่งสุดยอด ทุกคำตอบการตลาดถูกเฉลยอยู่ที่นี่หมด คุณไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังแต่ละแบรนด์เค้าทำอะไรคิดอะไรมา แต่คุณจะเจอคำตอบที่ทุกสินค้าทำออกมาให้คุณเห็นกันแน่ๆ
ยกตัวอย่าง คุณไม่รู้ว่าตอนนี้แชมพูเค้าแข่งอะไรกัน ตอนนี้ใครเป็นผู้นำในตลาด แล้วสินค้าอะไรเด่น คุณจะเห็นเลยว่า shelf ของแชมพูผู้ชายเริ่มมีขนาดใหญ่กว่าเดิม เริ่มมีแบรนด์ใหม่ๆเข้าสู่ตลาดนี้ ของผู้หญิงก็เช่นกันมีแบรนด์ต่างประเทศเยอะแยะเข้ามาในตลาดถึงแม้จะส่วนน้อยอยู่แต่ก็เริ่มมีจากหลายๆประเทศ ญี่ปุ่นเกาหลี แม้แต่จีน! นอกจากนี้คุณจะเห็นด้วยว่า ระหว่างแชมพูที่บำรุงผมสวย กับแชมพูที่แก้ไขปัญหาต่างๆ ดูตลาดจะใหญ่พอๆกัน แบรนด์ใดเป็นอันดับหนึ่งคงดูไม่ยาก ลองไปนับขาดูได้ว่าแบรนด์นั้นกินพื้นที่เยอะน้อยแค่ไหน แล้วคุณยังได้เห็นโปรโมชั่นด้วยว่าแบรนด์นำทำโปรอะไรในเวลานี้เพราะอะไรหากคุณลองสังเกตดู โดยที่คุณใช้เวลาไม่นานคุณจะเห็นตลาดอย่างคร่าวๆ ถึงแม้ไม่ใช่ภาพตลาดจริงๆแต่ก็มีส่วนใกล้เคียงเลยล่ะ และที่ผมชอบ supermarket เลยเพราะว่ามันมีสินค้าแทบทุกอย่างที่โฆษณาบ่อยๆในทีวีเลย คุณเลือกได้เลยว่าจะไปดูสินค้าอะไร
2. นอกจากนี้ผมยังมีอีกอย่างนึงที่ใช้อัพเดท แต่คราวนี้เป็นแนว IT หยิบมือถือขึ้นมาแล้วเข้าไปที่ play store หรือ app store เข้าไปดูเลยว่า app ต่างๆที่ยอดนิยมมี app อะไรบ้าง มันเกี่ยวกับอะไร มันช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นยังไง ทำไมถึงกลายเป็น app แนะนำหรือขึ้นอันดับบนๆได้ มันดีกว่า app เดิมที่เรามีมั้ย เราจะสังเกตเห็นเทรนอะไรบางอย่าง ถึงแม้เราไม่ต้องมีข้อมูลเยอะแยะมากมายแต่มันทำให้เราตามอะไรได้ทันเหมือนกัน
3. ยังมีอีกแต่อันนี้ง่ายหน่อย ไปที่แผงหนังสือ ดูหนังสือออกใหม่ มีอะไรบ้าง เค้าเขียนอะไรกัน คนนิยมอ่านอะไร คล้ายๆกับตอนไปเดิน supermarket คุณจะเห็นเลยว่าตอนนี้คนสนใจเรื่องอะไรกัน เล่มไหนขายดี ใครเด่นใครดังในเรื่องที่ว่า หากเป็นไปได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับมา เอามาลองนั่งอ่านดูเป็นอาหารสมองชั้นดีทีเดียวแล้วได้เพิ่มความรู้เรื่องที่เป็นกระแส ณ ปัจจุบัน
4.สุดท้ายผมชอบดูโฆษณามากกว่าดูรายการต่างๆ ถึงแม้รายการต่างๆจะมีเนื้อหาที่ดี แต่ผมชอบดูโฆษณา ละครมาแล้วเปลี่ยนไปดูช่องอื่น เปลี่ยนดูโฆษณา ยิ่งถ้ามีเคเบิลด้วยละก็ ดูโฆษณาต่างประเทศ ดูซิต่างประเทศเค้ามีอะไรน่าสนใจบ้าง บางทีโอกาสดีๆได้เห็นอะไรดีๆโดยไม่ต้องไปต่างประเทศก็อยู่ใกล้ๆมือเรานี่เอง
ง่ายมั้ยครับแทบไม่ต้องเสียเวลามากมาย สนุกด้วยได้อัพเดทด้วย แถมไม่ต้องไปเสียเวลาทำ research เยอะแยะ หรือหาข้อมูลมากมายจาก internet เทคนิคง่ายๆแค่นี้สามารถเอาไปลองใช้กันดูได้นะครับ
Mr. N
#Yesclub #การตลาด #การทำธุรกิจ
-------------------------------------------------
หากคุณชอบบทความเนื้อหาแบบนี้ สามารถติดตามพวกเราได้ครับและผมเอาบทความใกล้เคียงมาให้ดูกันเพิ่มเติมอีกด้วยครับ
***หากคิดว่าโลกสมัยนี้เปลี่ยนแปลงช้า คุณลองคิดใหม่อีกทีโลกมันเปลี่ยนเร็วมากๆ
โลกเปลี่ยนเร็วกว่าที่คุณคิด http://goo.gl/0D6iFx
***การตลาดมีสองโลก โลก offline กะ โลก online เลือกให้ถูกว่าเดินทางไหน
การตลาด online vs การตลาด offline http://goo.gl/7N11ZV
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
แบรนด์ช่วยชีวิต
คงเคยได้ยินกันมานะครับว่าทำแบรนด์มันดียังไง ดีกว่าการไม่ทำแบรนด์ยังไง สำหรับผมเองมันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากๆ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวช่วย 100% ที่จะทำกำไรให้บริษัทหรือมันจะไม่มีข้อเสียใดๆเลย
สำหรับแบรนด์ที่ดี แบรนด์ที่ชอบนั้น ลูกค้ายินดีที่จะแก้ตัวแทน (บ้าง) ยินดีที่จะลองสินค้าใหม่ๆจากแบรนด์ที่เราชอบ ยินดีที่จะให้อภัยบ้างหากแบรนด์ที่เราชอบทำอะไรผิดไป ในบางครั้งเราก็ยินดีที่จะแนะนำแบรนด์ที่เราชอบให้กับคนรอบๆตัวเพื่อไปหาซื้อไปใช้ต่อ
ผมเองพึ่งไป 7-11 มาเมื่อตอนเที่ยงและหยิบมันฝรั่งทอดยี่ห้อนึงขึ้นมาซึ่งเป็นแบรนด์ที่ชอบ (หลังจากติดแบรนด์นึงมานาน แต่ตั้งแต่เพื่อนบอกให้ลองอีกแบรนด์นึงจะติดใจ และหลังจากลองก็ติดใจจริงๆ) ปกติผมจะกินรสชีสและซาวครีม แต่วันนี้เจอรสใหม่รส smoked chicken ham cheese โดยที่ไม่รู้หรอกว่ารสนี้อร่อยแค่ไหน แต่เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่ผมชอบดังนั้นมันเหมือนคนรู้จักกันดีที่ไว้ใจกัน วันนี้เค้ามีของออกใหม่ ผมในฐานะผู้บริโภค ผมให้โอกาสแบรนด์โปรดก่อนเลย ซึ่งก็ไม่ผิดหวังอร่อยเหมือนเดิม
สิ่งที่ผมเล่าไปมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งที่เราชอบ เราจะมองหาแบรนด์นั้นๆก่อนเสมอ จนกว่าแบรนด์นั้นจะไม่สามารถ deliver สิ่งที่ต้องการได้ ผู้บริโภคก็จะเดินไปยังแบรนด์ต่อไป เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิตจริงๆของผู้บริโภคหลายๆคน ดังนั้นการสร้างแบรนด์จึงมีประโยชน์มากถึงมากที่สุด
แต่แบรนด์ก็ไม่ได้เป็นทุกอย่างอย่างที่ผมบอกไป ผู้บริโภคจะนึกถึงก่อน จะให้อภัย จะยินดีแนะนำ อะไรก็แล้วแต่ในเงื่อนไขที่ว่า แบรนด์ก็ต้องให้อะไรดีๆตามที่คาดหวังกลับมาด้วย ผิดพลาดบางครั้งแฟนพันธ์แท้ยังให้อภัย แต่ผิดพลาดซ้ำๆอาจจะเริ่มเปลี่ยนใจ และผมอยากบอกว่าหลายครั้งแบรนด์ดังๆหลายแบรนด์ก็ทำผิดแบบไม่น่าให้อภัย จนทำให้แฟนพันธ์แท้ต้องเดินไปสู่อ้อมอกคู่แข่งอย่างง่ายดาย
ดังนั้นแล้วแบรนด์ไม่ใช่แค่เสื้อสวยๆหรือเครื่องสำอางที่ทำให้ดูดี มันคือการเปลี่ยนพื้นฐานที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้จริงๆ หากวันนี้คิดจะทำแบรนด์ อย่าทำแค่ฉาบฉวย ทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้จริงๆและถาวร นอกจากคุณจะได้ลูกค้าประจำแล้ว ลูกค้าประจำที่ชื่นชอบในแบรดน์คุณก็ยินดีจะปกป้องแบรนด์คุณด้วยเช่นกันครับ จงลงทุนในแบรนด์ ทำให้ลูกค้ารักแบรนด์ของคุณ และอย่าหักหลังคนที่รักแบรนด์ของคุณครับ
Mr.N
#Yesclub #Brand #กลยุทธ์ธุรกิจ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับคนที่ชื่นชอบบทความแนวนี้สามารถอ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ครับ ***มาดูซิว่าธุรกิจและแบรนด์ดังๆมีโมเดลธุรกิจอย่างไร
Business Model Canvas - โมเดลธุรกิจ เปลี่ยนโลก !! http://goo.gl/zS9t5N
***หากว่าคุณรู้จัก Uniqlo ต้องไม่พลาดกลยุทธ์การทำแบรนด์ของ Uniqlo
Uniqlo: แกะรอยกลยุทธ์แบรนด์ดัง http://goo.gl/c5pEm7
วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
การตลาด online vs การตลาด offline
การตลาด online vs การตลาด offline
สำหรับคนที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิม มีหน้าร้านหรือมีโรงงานอยู่แล้ว โดยเดิมทีก็จะใช้การตลาด offline เป็นหลักในการทำตลาดไม่ว่าจะกำหนดกลยุทธ์ 4p อย่างไรก็จะใช้วิธี offline เป็นหลักและจะใช้ online มาควบคู่กันบ้างเช่น website เพื่อให้ข้อมูลและโปรโมตสินค้า ยกเว้นธุรกิจที่แต่ไหนแต่ไรก็ต้องทำธุรกรรม online หรือว่าธุรกิจ trading firm หรือการค้าต่างประเทศ ก็จำเป็นต้องใช้ online อยู่แล้ว แต่สำหรับธุรกิจที่เน้นในประเทศเป็นหลักล่ะที่เน้นการขายในช่องทางการขายแบบดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นขายผ่าน Open trade หรือ Modern trade ก็แล้วแต่
ในปัจจุบัน โดยการสังเกตของผมเอง sme เองได้แจ้งเกิดกับการทำตลาด online เป็นจำนวนมากและกลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับ SME ไปเนื่องจากใช้เงินลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก และไม่ต้องไปแข่งกันในตลาด offline ซึ่งค่าเช่าร้านหรือค่าเช่าแผงจะแพงมากหากเทียบกับ online ซึ่งการทำตลาด online สำหรับ SME คือเปิดเป็นร้านขายของได้เลย ไม่ว่าจะเป็นผ่าน social network ต่างๆเช่น line, facebook, instragram, หรือจะเป็นเว็บ e-commerce ต่างๆที่มีเยอะแยะมากมายให้เลือก โดยที่ไม่ต้องไปง้อร้านค้าจริงๆได้เลย โดยที่บาง SME อาจจะมียอดขายต่อเดือนหลักพันไปจนหลักหลายแสนบาทได้หากทำตลาดได้ดีได้โดน
แล้วสำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายล่ะ?? การตลาด online มีส่วนสำคัญมั้ย?? ผมบอกได้เลยว่ามีส่วนสำคัญมากๆ ซึ่ง การตลาด online ที่พูดถึงไม่ได้เฉพาะการขายเท่านั้น บริษัทใหญ่ๆอาจจะไม่สามารถทำยอดขายมหาศาลหรือว่าทำยอดขายได้เป็นส่วนหลักของการทำตลาด offline แต่การทำตลาด online ของบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ส่วนสำคัญอย่างนึงในการทำตลาด online คือการสื่อสารและ PR สินค้ารวมถึงการจัดทำกิจกรรมต่างๆต่างหาก ซึ่งหากสามารถใช้ช่องทาง social network ต่างๆเหล่านี้ในการทำ branding ของบริษัทเพื่อเพิ่มยอดขายในช่องทาง offline อาจจะส่งผลดีมากกว่าการทำตลาด online ที่เน้นยอดขายโดยตรง
ยกตัวอย่าง สมมติว่าบริษัทที่ทำสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำยาล้างจาน ผ้าอ้อมเด็ก สบู่ แชมพู อาหาร ขนม เสื้อผ้า สินค้าเด็กอ่อน สินค้าเกี่ยวกับสัตว์ หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ สมมติว่ามียอดขายประมาณ 500 ล้านบาทต่อเดือนโดยรายได้หลัก 70% มาจากช่องทางขายผ่าน modern trade และ 30% มาจาก Open trade และ modern trade หลักๆมาจาก modern trade รายใหญ่ในไทยไม่ว่าจะเป็น makro lotus bigc central the mall และอื่นๆ และ open trade ทั้งหมดประมาณ 50 รายทั่วประเทศ สุดท้ายวิธีการค้าคือต้องมีตัวกลางในการขายซึ่งก็คือ channel เหล่านี้เท่านั้น เท่ากับว่าสมรภูมิการค้าคือการเอาสินค้าเข้าสู่ชั้นวางของตาม channel เหล่านี้ ซึ่งอาจจะต้องดีลกับ channel ประมาณ 50-100 ราย
หากลองมองอีกด้าน หากต้องการทำ online เพื่อชดเชยรายได้ของ offline อาจจะขอเป็นรายได้ที่ 20% (ประมาณ 100 ล้านบาท) และยอดขายต่อลูกค้า = 100 บาทต่อคน เท่ากับว่า ต้องบริหารลูกค้าอีก 1 ล้านคนต่อเดือน ดังนั้นบริษัทนี้จะต้องสร้างระบบขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับลูกค้ารายย่อยทั้งหลายและเข้าสู่สมรภูมิการรบที่ไม่ถนัดเช่นเดิม คำถามคือคุณยังต้องการทำตลาดออนไลน์โดยการเน้นการขายหรือไม่?? คำตอบไม่มีผิดไม่มีถูกนะครับ
แต่สมมติว่าการตลาดออนไลน์นั้นเป้าหมายเน้นไปยังการสร้าง community การสร้าง branding การสร้าง communication ต่างๆ การ Pr และ connectivity ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย บริษัทไม่จำเป็นต้องเริ่มใหม่จาก 0 ซึ่งสามารถ leverage จาก offline มาได้ทั้งหมด เช่น spot โฆษณาที่เคยลง air time ใน tv ก็เปลี่ยนมาโปรโมตผ่าน social network การโปรโมตกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการทำ market research สามารถทำได้ง่ายมากขึ้นผ่าน social network หรือการทำกิจกรรม online ทั้งหลายเหล่านี้เป็นอย่างมากด้วยงบที่น้อยลงเยอะ (หากเลือกกลยุทธ์ถูก) และหากทำได้เข้าเป้า จะสามารถทำ branding กับกลุ่มลูกค้าได้อย่างดี
สุดท้ายและท้ายสุดประเด็นคือการตลาด online ดีแต่ต้องดูจุดประสงค์เพื่อให้เข้ากับแต่ละองค์กร sme ก็อาจเน้นไปยังจุดประสงค์นึง บริษัทใหญ่ๆก็อาจต้องเน้นไปอีกจุดประสงค์นึงและหากใช้ผิดจุดประสงค์แล้วนอกจากจะไม่เข้าเป้า เสียเวลาแล้ว ยังเสียงบประมาณไปโดยเปล่าๆอีกด้วยครับ กลยุทธ์การตลาดที่ดีต้องเริ่มจากรู้ตัวเอง วิเคราะห์ตัวเองได้ และใช้เครื่องมือต่างๆให้เหมาะสมครับ
Mr.N
#Yesclub #online #offline #กลยุทธ์การตลาด
----------------------------------------------------------
บทความที่น่าสนใจอื่นๆ
***หากอยากเริ่มธุรกิจวันนี้ อาจไม่ต้องเริ่มจาก 0 แบบที่เคยรู้กันมา มาดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้างที่เริ่มธุรกิจได้ไม่ต้องเริ่มจาก0 : ->
วิธีทำธุรกิจโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ http://goo.gl/j4n2TG
***ตลาดเล็กๆหรือตลาด mass นั้นหากทำได้หากเข้าใจได้ก็สามารถเป็นตลาดใหญ่ได้: ->
จับเล็กให้ได้ใหญ่ http://goo.gl/cFZVIY
วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
วิธีทำธุรกิจโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
คนที่ทำธุรกิจเองหรือคนที่กำลังเริ่มทำธุรกิจทุกคนจะทราบว่าช่วงที่ยากที่สุดคือช่วงเริ่มต้น
ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง ทำไปแล้วจะถูกใจลูกค้ามั้ย
ขายแล้วจะมีคนมาซื้อมั้ย ผิดกฏหมายอะไรรึเปล่า หรือจะสูญเงินโดยใช่เหตุมั้ย
ยังไม่นับเรื่องเวลาที่ต้องลงทุนลองผิดลองถูกไปอีก
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทำให้หลายคนไม่กล้าเริ่ม หรือเริ่มแ ล้วหยุดตรงนั้น
แล้วไม่เดินต่อเลย วันนี้ผมลิสต์วิธีการเริ่มต้นธุรกิจโดยไม่ต้องเริ่มใหม่
ถือเป็นทางด่วนให้ต่อยอดไปได้เร็วขึ้น ลองมาดูแต่ละวิธีเลยครับ
1. ซื้อหรือเซ้งธุรกิจ
การทำธุรกิจก็มีทั้งคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
หลายธุรกิจมีความจำเป็นที่เจ้าของเดิมไม่สามารถไปต่อได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่
การเซ้งธุรกิจก็ถือเป็นทางเลือกนึงที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้นแบบไม่ต้องเหนื่อย
ตัวผมเองเคยคิดจะเซ้งธุรกิจ 2 -3 อย่าง
เจ้าของเดิมตั้งใจจะขายด้วยเหตุผลยอดฮิตคือธุรกิจยังดีอยู่แต่ต้องไปเรียนต่อเมืองนอก
ตอนนั้นได้คุยกับเจ้าของเดิมแล้วรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ เลยไม่ได้เซ้งมาทำ ภายหลังพบว่าตัดสินใจถูกแล้ว
เพราะธุรกิจนั้นปิดตัวลงไปจริงๆ
ในการเซ้งธุรกิจที่ดีนั้น
เราควรมีแผนการชัดเจนว่ามันจะเกื้อหนุนกับสิ่งที่เราทำอยู่
หรือความชอบส่วนตัวของเรายังไง
รวมถึงสิ่งที่เราคิดว่าจะได้มาจากการเซ้งธุรกิจคืออะไร เช่น ฐานลูกค้าเดิม
ระบบการทำงาน โลเคชั่นที่ดี แต่บอกตามตรงว่าค่อนข้างหาดีๆ ได้ยาก
เพราะถ้าของดีจริง เจ้าของเดิมจะปล่อยทำไม ยกเว้นจะไปเรียนต่อเมืองนอกจริงๆ
ใช่มั้ยครับ อิอิ
2. ต่อยอดจากกิจการที่บ้าน
สำหรับท่านมีกิจการเดิมของที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานบริษัทร้านค้า
รวมถึงเทือกสวนไร่นาของท่านด้วย
แน่นอนว่าการจะต่อยอดจากกิจการเดิมของที่บ้านจะมีอุปสรรคในเรื่องของแนวคิดของคนสองรุ่น
รวมถึงระบบการจ่ายผลตอบแทน
เราใช้ธุรกิจเดิมของที่บ้านได้โดยการยืมปัจจัยการผลิต
มาทำสินค้าเราเอง (จ้างที่บ้านผลิต)
หรือยืมฐานลูกค้าที่บ้านที่รู้จักครอบครัวเราเป็นอย่างดี
มาเป็นฐานลูกค้าเริ่มต้นของเราที่จะนำเสนอสินค้าใหม่ที่เราขายเอง (ขอยืมมือเตี่ยหาลูกค้า)
ในส่วนเกษตรกรรม ผมก็เห็นว่าปัจจุบันนี้มีหลายแห่งพัฒนาสินค้าจนเกิดเป็นมูลค่าเพิ่ม
ส่งออกไปเมืองนอกได้เยอะแยะ เช่น บางรายจากเดิมขายข้าว
ปัจจุบันก็เพิ่มมูลค่าแล้วขายสินค้าได้ราคามากขึ้น เป็นต้น
3. ต่อยอดจากลูกค้าเดิมหรือคนรอบข้าง
บางทีลูกค้าเราอาจจะซื้อสินค้าบางอย่างกับเราเป็นประจำ
จนเราลืมมองข้ามไปว่าชีวิตนี้เค้าคงไม่ได้ใช้ของแค่อย่างเดียว
ถ้าเราได้ลองถามลูกค้าเดิมของเราสักนิด ก็จะหาทางต่อยอดสินค้าเราได้ เพราะไหนๆ
เราก็รู้จักเค้าแล้ว การสั่งซื้อสินค้าอื่นๆ จากเราคงไม่เป็นปัญหาอะไร
เพราะเราเชื่อใจกันแล้ว
นอกจากนี้เรายังสามารถขายสินค้าที่เพื่อนเราต้องการได้อีกด้วย แนวทางนี้ผมไม่ได้ให้ขายเพื่อนอย่างเดียวนะครับ
แค่เรามองว่าเพื่อนเราเป็นคนกลุ่มแบบไหน เราก็หาธุรกิจที่คิดว่าคนกลุ่มนี้จะซื้อหรือใช้บริการ
เช่น เพื่อนเราแต่งงาน มีลูก เลี้ยงสัตว์ ชอบท่องเที่ยว ชอบขี่จักรยานฟิกเกียร์
เป็นต้น
4. ซื้อแฟรนไชส์
วิธีนี้สำหรับท่านที่มีเงินลงทุนสูงพอสมควร และยอมรับความเสี่ยงได้
ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดี ในมุมมองผมผู้ที่จะซื้อแฟรนไชส์ นอกจากจะได้รับผลตอบแทนแล้ว
(เฉพาะจากกิจการที่ดี) ยังได้เรียนรู้ know-how และวิธีการทำงานของเจ้าของแฟรนไชส์อีกด้วย
(หากเค้าเปิดเผย) ซึ่งทำให้ในอนาคตสามารถมาเริ่มธุรกิจแบบเดียวกันได้อีก
ก็ยังมีทางด่วนอีกหลายหลายทางนะครับ เราไม่จำเป็นต้องใช้ทุกทางแค่เลือกทางที่ถนัดและใช่สำหรับเรา
แล้วเริ่มจากจุดนั้น ก็พอแล้วครับ
#YESCLUB #KAL #BUSINESS STARTUP #ทางด่วน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)