วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Partner ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง


Partner ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง


สำหรับผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจส่วนตัว การทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียวเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าการตัดสินใจต่างๆสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ทิศทางการดำเนินธรกิจก็จะเป็นไปในทิศทางของเจ้าของเพียงคนเดียว แต่หากวันนึงที่จำเป็นต้องขยายกิจการและหาตัวช่วยที่สามารถมาช่วยเราให้ทำงานให้ได้มากขึ้นและไปได้มากขึ้น การหา Partner มาส่วนน้นเป็นเรื่องที่ดีและควรทำ และที่สำคัญคือจำเป็นต้องหา Partner ดีๆ ด้วย Partner ดีๆนั้น จะทำให้เหมือนเสือติดปีกได้เลย


การเลือก Partner นั้น มีหลายเหตุผลที่เราต้องให้ความสำคัญไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ลักษณะการทำงาน, ทัศนคติ, ความสามารถที่มีและที่แตกต่าง, จริต, ความเข้าใจในงาน, ความเข้าใจในเป้าหมาย, ความรับผิดชอบ, การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน, ความซื่อสัตย์, ทุนทรัพย์ และอื่นๆ สิ่งต่างๆเหล่านี้มีความสำคัญมากในการเลือก Partner เพราะเมื่อลงเรือลำเดียวกันไปแล้ว โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการลงทุนเยอะๆ คุณจะถอนตัวได้ยากมาก และอาจต้องทนอยู่กับ Partner คนนั้นไปช่วงนึง หากจะเปรียบกับการแต่งงานก็คงไม่ต่างกันมาก


การมี Partner ที่ดีนั้นสามารถเป็น Key Success ของธุรกิจเลยก็ว่าได้หากเลือกได้ถูกคน เช่น เลือกคนที่มีความสามารถต่างจากเราและมาเติมเต็มในส่วนที่เราขาด หรือว่ามี Partner ที่มี Network ที่สามารถช่วยงานของเราให้โตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และคงบอกไม่ได้ว่า จะมีหลักเกณฑ์หรือกฏเกณฑ์การเลือกอย่างไร เพราะว่าแต่ละบุคคลนั้นก็มีจุดดีจุดเสียที่แตกต่างกัน เราจำเป็นต้องเข้าใจตัวเราเองก่อนว่าเราจำเป็นต้องการคนแบบไหนเข้ามาช่วยงานเราถึงจะสามารถเลือกได้


แต่ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร สุดท้ายการอะลุ้มอะหล่วย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยบนพื้นฐานว่าคนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในเรื่องของความคิด แบ็คกราวน์ พื้นฐาน ความรู้ความสามารถ และโลจิคต่างๆ และต้องไม่ลืมว่า เป้าหมายสุดท้ายของการทำธุรกิจคืออะไร และเดิมตามเป้าหมายไปให้สำเร็จนั่นคือสิ่งสำคัญ


YES Club (Young Entrepreneur Society)





5 วิธีทำให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น


5 วิธีทำให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น


1.วางแผนงานแต่ละวัน: วางแผนงานแต่ละวัน ว่าจะต้องมีอะไรบ้าง งานไหนเร่งด่วน งานไหนสำคัญ จัดความสำคัญของงานแต่ละอย่าง อย่าลืมว่างานแต่ละอย่างมีความเร่งด่วนไม่เท่ากัน และความสำคัญไม่เท่ากัน งานบางงานเป็นคอขวด หากเราทำช้า ก็จะทำให้คนอื่นทำงานช้าไปด้วยงานประเภทนี้ต้องรีบทำให้เสร็จก่อน ส่วนงานบางงานอาจจะเก็บไว้ทำตอนไม่มีเรื่องด่วนค่อยทำได้


2.จด to do: การจดรายการที่ต้องทำไว้หรือ To do นั้นจะทำให้เรารู้ว่าเราจะวางแผนการทำงานอย่างไร นอกจากนี้เรายังควรแยกออกเป็นโปรเจ็ค ว่าแต่ละงานแต่ละโปรเจ็ค มีอะไรต้องทำบ้าง แล้วในแต่ละวันพอเราเริ่มทำงานในแต่ละข้อ เราก็จะค่อยๆขีดคาดงานที่ทำเสร็จแล้วออกไป แล้วเชื่อเหอะครับ ตอนขีดออกไปทีละข้อนี่มันมีความสุขสุดๆ (แต่ระหว่างวันก็มีเขียนเพิ่มเข้ามาตลอด)


3.วัดผลจากงานที่ได้: เราต้องคอยประเมินตัวเองอยู่ทุกวัน ว่าแต่ละวันเราทำงานอะไรได้มากน้อยแค่ไหน และลองหาจุดอ่อนที่เรามี และทำการแก้ไข ในบางกรณีนั้นเราสามารถปรึกษากับทางหัวหน้าเราเพื่อหาวิธีปรับปรุงพัฒนาวิธีทำงานของเรา หรือสามารถไปอบรมเพิ่มเติมในหัวข้อที่เรายังด้อยได้


4.แชตและ social ให้น้อยลง: การแชตและการใช้โซเชียลต่างๆระหว่างทำงาน ถึงแม้ไม่ผิดกฏของบริษัท (แต่หลายที่ก็ห้ามใช้) แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพการทานลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ลองคิดดูว่า หากคุณกำลังทำงานกำลังทำงานกำลังพิมพ์งานซักพักนึงก็มีคนทักแชตมา คุณก็เสียเวลาไปตอบตอบไปตอบมา ก็หันกลับมาค่อยทำงาน กำลังจะพิมพ์งานต่อ มีคนทักมาอีก ไม่เพียงแค่เสียเวลา แต่ยังเสียสมาธิอย่างมาก ทำให้งานแต่ละอย่างต่อไม่ติดและยิ่งทำให้คุณเสียเวลาไปโดยคุณคาดไม่ถึง


5.ใช้เวลาตอนช่วงเช้าที่สมองสดใส ใช้คิดงาน: รีบเคลียร์งาน routine ต่างๆให้เสร็จเร็วไว และใช้เวลาช่วงเช้านั้นคิดงานและวางแผน เพราะว่าสมองตอนเช้านั้นจะมีไอเดียดีๆ และทำให้เราคิดอะไรได้เยอะ และหากงานที่ต้องทำประจำนั้นไม่จำเป็นต้องทำตอนเช้า ก็ยิ่งดีเลยเราก็เก็บมาใช้ตอนช่วงบ่ายๆทำงานแทน


เพียงทำแค่ 5 ข้อนี้ งานที่เคยทำได้น้อย ก็จะกลายเป็นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเมื่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราทำงานได้มากก็จะมีโอกาสประสบควาสำเร็จมากกว่าคนอื่น ยังไงลองทำกันดูนะครับ

YES Club (Young Entrepreneur Society)

#งาน #ประสิทธิภาพ

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เป็นพนักงานประจำก็ทำธุรกิจส่วนตัวได้


เป็นพนักงานประจำก็ทำธุรกิจส่วนตัวได้



เชื่อว่าคนทำงานประจำหลายๆคนก็มีความฝันที่จะทำงานของตัวเองวันใดวันหนึ่ง บางคนวาดแผนในอนาคตไว้ว่าวันนึงหลังจากวางมือจากงานประจำที่ทำอยู่ก็จะไปทำงานส่วนตัวที่เคยมองๆเอาไว้ ที่เตรียมไว้ ที่วางแผนไว้ ระหว่างทางก็เก็บเงินและประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เตรียมความพร้อมก่อนที่จะถึงวันนั้นเข้ามาจริง


แต่บางทีเราอาจไม่ต้องเลือกที่จะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือรอจนถึงจุดนั้นจุดนี้ ถึงจะเริ่มทำธุรกิจที่เราอยากทำ มันอาจจะสายไป ธุรกิจที่เรามองไว้อาจจะเปลี่ยนไป เราอาจจะเปลี่ยนไป ตลาดอาจจะเปลี่ยนไป หรือแม้แต่สุขภาพร่างกายอาจไม่เอื้ออำนวยก็ได้ ดังนั้นแทนที่เราจะรอไว้ให้เราพร้อมหรือวางมือจากงานประจำถึงจะเริ่ม ทำไมไม่เริ่มพร้อมๆกับการทำงานประจำไปเลยล่ะ


ผมมีเพื่อนหลายๆคนรวมถึงคนรู้จักหลายๆคนที่กำลังทำแบบนี้ งานประจำก็ทำ งานส่วนตัวก็ทำ และก็ทำควบกันโดยไม่ให้งานประจำเสีย ผมเชื่อว่าด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ โมเดลธุรกิจใหม่ๆนั้น ทำให้มันเอิ้อที่จะให้คนที่ทำงานประจำต่างๆสามารถทำงานประจำควบกับงานส่วนตัวได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการจัดการเวลา การวางแผนงานและที่สำคัญคือโมเดลทำธุรกิจครับ ต้องบอกว่า คุณเองในฐานะพนักงานคนหนึ่ง จำเป็นต้องรับผิดชอบงานของบริษัทให้เต็มที่ และหากทำแบบนั้น คุณจะเหลือเวลา ช่วงหลังเลิกงานและวันเสาร์อาทิตย์เต็มๆ เพื่องานส่วนตัวคุณ


ด้วยการทำงานส่วนตัวนั้น อาจจะไม่ใช่ทุกอย่างที่เหมาะกับการทำงานไปพร้อมกับธุรกิจ แต่อย่าลืมว่า หากเราสามารถบริหารได้ เราเลือกที่จะจ้างคนเก่งๆมาช่วยงานเรา ไม่ว่าจะ outsource และเริ่มต้น model ธุรกิจของคุณในแบบนั้น ลองคิดถึงธุรกิจออนไลน์ ขายของออนไลน์ การลงทุนในหุ้น ขายตรง การสอนพิเศษ ธุรกิจเทรดดิ้ง ส่งออก และด้วยเครื่องมือออนไลน์ที่พัฒนาไปเยอะไม่ว่าจะเป็น social network อย่าง facebook หรือ line หรือ instragram นั้นสามารถทำให้เราสามารถทำงานต่างๆให้เดินได้ถึงแม้เราจะยังทำงานประจำกันอยู่ และเมื่อคุณทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนรายได้ของงานเสิรมที่คุณมองไว้ นั้นเริ่มทำรายได้ให้กับคุณได้ไม่น้อยกว่างานประจำ คุณเองก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้แล้วว่า คุณต้องการใช้ชีวิตแบบไหน หากยังต้องการทำงานประจำควบคู่ไปกันคุณก็ยังสามารถทำได้ หรือว่าจะเลือกลาออกจากงานประจำมาเพื่อทำงานส่วนตัวของคุณอย่างเต็มที่ก็สามารถทำได้โดยไม่กระทบกับรายได้ที่เคยได้


สุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไร คุณจะต้องบริหารเวลาให้ดี เลือกโมเดลและเลือกธุรกิจให้เหมาะสม และที่สำคัญ หาพาร์ทเนอร์ที่ไว้ใจและฝากชีวิตเอาไว้ได้ เพราะคุณอาจต้องขอความช่วยเหลือจากพาร์ทเนอร์ต่างๆเหล่านี้ จงใช้ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานให้มากที่สุดและอย่าให้คุณทำงานให้กับเทคโนโลยีครับ


YES Club (Young Entrepreneur Society)

#ธุรกิจ #งานประจำ #ออนไลน์

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แฟรนไชส์ธุรกิจ ทางเลือกสำหรับคนอยากทำธุรกิจ


แฟรนไชส์ธุรกิจ ทางเลือกสำหรับคนอยากทำธุรกิจ


การทำธุรกิจนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าการจะเริ่มจาก 0 เอง การเริ่มค้นคิดค้นคว้ารายละเอียดทุกอย่างด้วยตัวเอง หรือการเริ่มทำธุรกิจด้วยการทำแฟรนไชส์

การทำแฟรนไชส์นั้นคือการที่เจ้าของธุกิจใดธุรกิจหนึ่งนั้นได้ทำการศึกษารายละเอียดและได้ทำธุรกิจนั้นๆจนประสบความสำเร็จ และสามารถทำเป็น standard เพื่อแนะนำแนวทางการทำธุรกิจไปให้กับผู้ที่สนใจได้ หรือจะเรียกง่ายๆว่าคัมภีร์ ทางเจ้าของธุรกิจนั้นบุกเบิกธุรกิจนั้นๆขึ้นมาจนมีความชำนาญและเข้าใจตลาดเป็นอย่างดี จึงเริ่มถ่ายทอดวิชาในคัมภีร์ที่ได้สรุปมานั้นผ่านช่องทางของแฟรนไชส์ โดยที่ แฟรนไชส์นั้นๆก็จะได้ค่าตอบแทนจากคนที่สนใจนำแฟรนไชส์นั้นๆ ไปทำตลาดและเริ่มธุรกิจได้เลย ส่วนรายละเอียดนั้นก็แล้วแต่ว่าแต่ละเจ้าของแฟรนไชส์ต้องการอะไรตอบแทน หรือว่าขอบเขตค่าใช้จ่ายจะครอบคลุมอะไรบ้าง โดยทั่วๆไปก็จะมี ค่าแรกเข้า ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ค่าสูตร ค่าวัตถุดิบ และอื่นๆแล้วแต่ลักษณะของธุรกิจ

การทำแฟรนไชส์นั้นเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มธุรกิจเนื่องจากว่าสามารถเรียนรู้ know how ได้ทันทีหากต้องการเริ่มธุรกิจเพราะว่าทางเจ้าของแฟรนไชส์นั้นจะเข้ามาช่วยให้คำปรึกษาและวิเคราะห์ ช่วยสอนช่วยฝึกจนเราจะชำนาญในการทำธุรกิจและกลายเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญและโตไปด้วยกันไป และธุรกิจแฟรนไชส์นั้นก็มีให้เลือกมากมายหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น อาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบริการ ร้านค้า ค้าปลีก เราสามารถเลือกธุรกิจที่เหมาะสมกับความต้องการของเราได้ทันที (แต่ศึกษารายละเอียดแฟรนไชส์ดีๆก่อนนะครับเพราะแต่ละที่ไม่เหมือนกันเท่าไร)

นอกจากนี้ไม่ใช่ดีเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มธุรกิจเท่านั้น เจ้าของธุรกิจก็สามารถขยายและเพิ่มรายได้ของธุรกิจได้โดยผ่านช่องทางของแฟรนไชส์ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่า ได้ประโยชน์กันทั้งสองทางกันเลยทีเดียว ทางสมาคมธุรกิจแฟรนไชส์และไลเซ่นนั้นได้ทำการสรุปภาพรวมของตลาดแฟรนไชส์ไว้ และตลาดมีขนาดใหญ่ถึง 1.25 แสนล้านบาทและมีการเติบโตเรื่อยมา และจากการจัดอันดับของ thaifranchise นั้นเชื่อมั้ยครับว่า 10 อันดับแรกนั้น เป็นอาหารและเครื่องดื่มไปถึง 8 รายการมีเพียง 2 แฟรนไชส์เท่านั้นที่เป็นค้าปลีกและ supermarket ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ธุรกิจที่คนยังให้ความสนใจในการเปิดแฟรนไชส์ก็ยังเป็นอาหารอยู่

สุดท้ายฝากกันเอาไว้ว่า การทำธุรกิจทุกอย่างมีความเสี่ยง ถึงแม้ว่าการทำแฟรนไชส์นั้นจะสามารถลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ และต่อให้ค่าใช้จ่ายในการเริ่มไม่ได้สูงมาก แต่มันก้คงดีกว่าถ้าคุณศึกษาดีๆและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้าไปลุย อย่างน้อยกำกระสุนไว้อยู่ในมือ ยิงให้ตรงเป้า ดีกว่าการยิงสาดไปและทำให้กระสุนเราเสียไปไม่เป็นเรื่องอยู่ร่ำไปครับ และหากคิดวิเคราะห์มาดีแล้ว ทางเลือกการทำแฟรนไชส์ผมเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่งครับ และขอฝากไว้คำนึงครับ “if you can’t beat them, join them” หรือว่าถ้าคุณคิดว่าธุรกิจไหนดี และเราเองก็ไปแข่งด้วยยาก ก็เข้าร่วมซะครับ วันศุกร์แล้วเที่ยวและพักผ่อนกันให้เต็มที่นะครับ


YES Club (Young Entrepreneur Society)


#ธุรกิจ #แฟรนไชส์ #ธุรกิจแฟรนไชส์

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

10 เหตุผลสุดฮิตในการลาออก


10 เหตุผลสุดฮิตในการลาออก


ช่วงกลางๆปีแบบนี้ อารมณ์ทำงานมันหนืดๆ ช่วงโบนัสก็เลยไปแล้ว กับบางคนช่วงนี้ก็ว่างเกิน เพราะยังไม่ใช่ช่วงปั๊มยอดแบบสิ้นปี บางคนก็งานล้นมือเพราะว่าเป้าปีนี้ไม่เข้าเป้า เหนื่อยมากๆมาทั้งปี เรามาดูกันดีกว่าว่า เหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงาน (มานับกันว่ามีคนละกี่ข้อ)


1.เบื่อหัวหน้า: เหตุผลหลักเหตุผลนึงในการลาออกของพนักงานทั่วไป จนขนาดมีคนเคยบอกว่า พนักงานเข้าร่วมงานเพราะบริษัทและลาออกเพราะหัวหน้า จะบอกแบบนี้ก็ไม่ผิดเพราะว่าการทำงานนั้นหัวหน้าเป็นส่วนสำคัญมากๆ เราใช้เวลาทั้งวันในการทำงานและจำเป็นต้องทำงานร่วมกับหัวหน้าเรา การได้หัวหน้าดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง แต่หากได้หัวหน้าไม่ดี ก็ทำให้การทำงานของเรานั้นเป็นเรื่องที่ทุกข์ได้มากเช่นกัน


2.งานเยอะเกิน: สำหรับคนงานเยอะเกิน และต้องเบียดเบียนเวลาส่วนตัว ก็จะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงาน เพราะว่า การใช้เวลาทำงานเยอะ อาจทำให้เสียสุขภาพและทำให้เครียดเกินขนาด เป็นอีกเหตุผลหนึ่งทีทำให้พนักงานลาออก (เพื่อไปทำงานเยอะกับอีกที่)


3.ไม่มีความก้าวหน้า: ความก้าวหน้าในการทำงานสำหรับพนักงานทุกคนแล้ว เชื่อได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อพนักงานแต่ละคนเสียเวลาเข้ามาทำงาน นอกจากผลตอบแทนแล้ว ความก้าวหน้าก็ทำให้สามารถตัดสินใจย้ายงานได้เช่นกัน เพราะว่าการทำงานซ้ำๆ ที่ไม่มีความก้าวหน้า ก็ทำให้พนักงานกลุ่มนั้นไม่สามารถพัฒนาความสามารถตัวเองได้ หัวหน้างานหรือเจ้าของควรจะเลือกที่จะให้พนักงานที่มีความสามารถได้มีความก้าวหน้าและพัฒนาความสามารถตัวเองอย่างพอเหมาะ


4.ได้ข้อเสนอที่ดีกว่า: ต้องบอกว่าเป็นเหตุผลหลักก็ว่าได้ในการย้ายงาน แต่ว่าก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวในการย้ายงาน หลายๆสาเหตุที่กล่าวมานั้นเป็นจุดเริ่มที่ทำให้พนักงานอยากย้ายงานและเมื่อย้ายงานการได้ข้อเสนอที่ดีกว่าจะยิ่งทำให้พนักงานคนๆนั้นสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น (เช่นว่า หากต้องเจอเรื่องแย่ๆหลายๆเรื่องในออฟฟิต เจอเรื่องแย่ๆแล้วการได้รับเงินที่มากขึ้นก็อาจเป็นเรื่องที่ดีกว่า....มั้ย)


5.มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน: คล้ายๆกับหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงานที่ทำงานนั้นเราต้องเจอหน้าบ่อยกว่าคนในครอบครัวด้วยซ้ำ นั่งทำงานด้วยกัน เจอหน้ากันเช้าจรดเย็น หากเกิดปัญหาแล้วการต้องอยู่ออฟฟิตทั้งวันก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่จะตัดสินใจย้ายงานได้ไม่ยาก


6.อยู่ในส่วนงานที่ไม่ชอบ/ไม่ถนัด: ความถนัดแต่ละคนไม่เหมือนกันรวมถึงความชอบด้วย การต้องไปทำงานในส่วนที่ไม่ถนัดบ่อยๆและนานเข้า ก็ทำให้พนักงานหลายคนตัดสินใจลาออกจากงาน ไม่ใช่แค่ว่าเป็นความไม่ชอบ แต่มันรวมถึงผลงานที่จะทำได้ออกมาด้วย เพราะเทียบกันแล้วหากไม่ถนัด ก็ยากที่จะทำให้ออกมาดีได้ ในหลายๆกรณี พนักงานหลายคนเข้าร่วมงานกับบริษัทๆ นึงด้วยตำแหน่งงานนึง แต่ระหว่างทางที่มีพนักงานในส่วนอื่นๆลาออกไปและพนักงานคนนั้นต้องไปรับผิดชอบงานในตำแหน่งนั้นแทนก็เกิดความไม่ถนัด และต้องลาออกในที่สุด ดังนั้นทางบริษัท หัวหน้า และตัวพนักงานเองก็จำเป็นต้องเข้าใจเหตุการณ์และต้องมีการพูดคุยกันถึงเนื้องานที่จะต้องไปทำด้วย เพราะมันคงไม่เป็นผลดีกับฝ่ายไหนหากจะดันทุรังให้คนๆนึงต้องไปทำงานที่ไม่ถนัดและจบด้วยการลาออก


7.รายได้ไม่พอ: เมื่อค่าใช้จ่ายส่วนตัวน้อยกว่ารายได้ อันนี้ต่อให้เป็นงานที่ทำแล้วมีความสุขอย่างไร เมื่อไม่พอใช้ พนักงานก็จำเป็นต้องลาออกเพื่อไปหางานที่พอกับรายจ่าย ทางแก้ไขอีกทางนึงคือการบริหารการใช้จ่ายอย่างพอเหมาะ


8.อยากทำธุรกิจส่วนตัว: ฝันของพนักงานหลายๆคนในการทำงาน คือการไปทำธุรกิจส่วนตัว บ้างออกไปแล้วสำเร็จ บ้างออกไปแล้วล้มเหลว แต่ทุกๆวันก็ยังมีคนลาออกไปตามล่าฝันกันอยู่ โดยส่วนตัวเชื่อว่าหัวหน้าทุกคนยินดีที่ลูกน้องได้ออกไปทำตามฝันและเจริญเติบโต สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การเตรียมตัวให้พร้อม การเข้าใจธุรกิจให้ดี การคิดแผน ทำ Business Model เพื่อให้เราเตรียมตัวได้ถูกนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ในหลายๆกรณี เรายังสามารถทำงานประจำไปได้พร้อมกับงานส่วนตัวโดยไม่เสียงานทั้งคู่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารเวลาของเราด้วย ดังนั้นในกรณีนี้ การลาออกอาจจะต้องคิดวิเคราะห์ให้ดีก่อนลาออกจริง เพราะเมื่อลาออกไปแล้วเงินเดือนที่มีอยู่ จะไม่มีอีกแล้ว ทีนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือและใจคุณเองแล้วว่าจะทำได้ดีแค่ไหน


9.เดินทางไกล: ต่อให้มีรถไฟฟ้า หรือขนส่งมวลชนหรือรถยนต์ส่วนตัว การเดินทางไกลนั้นเป็นเหตุผลทีทำให้พนักงานต่างๆจำเป็นต้องย้ายไปใกล้กับที่ทำงาน หรือย้ายที่ทำงานให้ใกล้กับบ้าน นอกจากนี้รถที่ติดมากๆทุกวันนี้ในหัวเมืองใหญ่ๆเช่นกรุงเทพ ก็ยิ่งทำให้พลังและเวลาในแต่ละวันหมดไปกับการเดินทางด้วย


10.ติส: ไม่มีอะไรมาก ไม่มีเหตุผล แต่อยากออก แฮปปี้ดีกับที่ทำงาน แต่อยากออกมา...


ถึงแม้จะมีเหตุผลมากมายในการลาออก แต่อย่าลืมว่าการลาออกด้วยอารมณ์ชั่ววูบ อาจทำให้การใช้ชีวิตต้องอึดอัดและเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้การย้ายงานบ่อยๆอาจจะทำให้การพัฒนาความสามารถต่างๆต้องหยุดชะงักและทำให้นายจ้างต้องคิดพิจรณาเยอะขึ้นในการรับคนที่ย้ายงานบ่อยๆ สุดท้าย หากจะย้ายงานจริงๆ ขอให้เป็นเหตุผลทีตกผลึกมาอย่างดีและคุ้มในการย้ายงานนะครับ การย้ายงานไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติ ใจเขาใจเรา อย่ามัวคิดด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง เพราะโลกใบนี้มันเล็กเหลือเกิน บางครั้ง ลูกน้องเรากลายเป็นหัวหน้าในอีกองค์กร บางครั้งกลายเป็นลูกค้าเราได้ในอนาคต


ฝากไว้ให้คิดนะครับสำหรับคนทำงานทุกคน “อยู่ให้รัก จากให้คิดถึง”

YES Club (Young Entrepreneur Society)

#ทำงาน #ธุรกิจ #อาชีพ #ลาออก






วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

4 ข้อคิดสำหรับธุรกิจบน Social Media




อ่านเจอกระทู้ ในพันทิป ว่าใน Facebook Fanpage มีคนไลค์ 3 แสน แต่ขายไม่ดีเลย โพสแต่ละทีก็มีคนเห็นน้อยมาก  ทำยังไงดี..

เห็นปัญหาดังกล่าว เลยอยากจะมาฝากข้อคิด สัก 4 อย่าง สำหรับคนที่ค้าขายผ่าน Social Media ทั้งหลายนะครับ

กระทู้ตามในลิ้งค์ครับ   มีคนไลค์ 3 แสน  แต่ขายไม่ดี



1. คิดยาว อย่าคิดสั้นๆ
Facebook, IG และ Social Network ต่างๆ มันคือ ช่องทางการขาย และ ทำตลาดใน ระยะสั้น  (สั้นมากๆ) เทคโนโลยี เปลี่ยนแปลงเร็ว เราไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะมีอะไรมาใหม่หรือเปล่า  คนจะเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่นหรือไม่ หากทำธุรกิจโดยพึ่งพาแค่ Facebook หรือ IG  อาจจะไม่ยั่งยืนครับ  


2. นับคนซื้อ ไม่ใช่คนไลค์
จำนวนคนไลค์ คนแชร์ คนคอมเม้น ไม่สำคัญ เท่าจำนวน คนซื้อครับ  บางเพจ บางIG มีลูกค้ามากดไลค์ กดตาม แค่ หลักร้อย หลักพัน แต่ขายดีกันน่าดู เพราะทุกคนที่เข้ามาไลค์ คือลูกค้าที่ต้องการจะซื้อสินค้าเกือบทั้งหมด  อย่าไปมัวหลงไปตามกระแส และ ความรู้สึกดีเวลามีคนไลค์ คนแชร์ เยอะๆ  จริงอยู่ครับ  มันทำให้คนเห็น แบรนด์ เห็นสินค้าคุณเยอะขึ้น  แต่ประเด็นคือ  คนที่เห็น มันใช่ กลุ่มเป้าหมายของคุณหรือเปล่า  ยกตัวอย่างเช่น  ดาราถือสินค้าของคุณ แชร์กันสนั่นออนไลน์ คนเห็นเป็นแสนๆ  แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกแฟนคลับดารา ซึ่งอาจจะไม่ใช่กลุ่มลูกค้าของคุณ (ถ้าใช่ก็ถือว่าคุ้มครับ) กลับกัน  โพสในกลุ่มเล็กๆ มีคนหลักร้อย แต่ ในนั้น เป็นลูกค้าเกือบทั้งหมด โอกาสการขายน่าจะสูงกว่าครับ  เพราะฉะนั้น เราเลือกเอาแค่คนที่ใช่ ก็พอครับ  ดูคุณภาพ อย่าไปสนใจ ปริมาณ


3. ราคาแพงขึ้นทุกวัน
สื่อonline ในช่องทางต่างๆ ก็ต้องมุ่งหารายได้กันทั้งนั้นครับ ไม่มีใครให้บริการเราฟรีๆจริงๆ  Facebook ตอนนี้ เริ่มปรับ Organic Reach ให้น้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเพิ่มเงินโฆษณามากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ทั้ง Facebook ทั้งไลน์  ปรับเงินค่าโฆษณากันน่าดูในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา    หากเป็นแบรนด์ใหญ่ๆ ก็คุ้มครับ เพราะยังถือว่าถูกว่า TV   แต่ สำหรับ SME ผมว่ามันก็ไม่ถูกเหมือนแต่ก่อนแล้วนะครับ

4. มองหาโอกาสในช่องทางอื่นๆไว้บ้าง
อย่างที่บอกไว้ในข้อแรก Social  Network มันเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี เราไม่รู้จะมีอะไรมาใหม่ๆอีก เมื่อไหร่ ดังนั้น ควรมองหาช่องทางการขาย หรือ การขยายธุรกิจ ไปในช่องทางอื่นๆ ไว้บ้างครับ ทางที่ดี อย่าใช้สื่อพวกนี้เป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียว  ใช้มันเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ แล้วเรามี ฐานของเราอยู่ที่อื่นด้วย  เช่น Website เราเอง หรือ มีหน้าร้านจริงๆเลย  หรือ อาจจะมองวิธีในการกลับมาขายในช่องทางปกติ  ในการวิ่งหาลูกค้า ออกงานแสดงสินค้าต่างๆ  ผมเห็นหลายธุรกิจ เริ่มจาก ช่องทาง IG หรือ FB  พอเริ่มขายดี  เจ้าของก็เริ่มออกมาตั้ง Kiosk ขาย, วิ่งไปขายตามงานต่างๆ เริ่มมีหน้าร้าน  จาก 1 สาขา กลายเป็น 2, 3, 4    หากทำได้แบบนี้ ธุรกิจน่าจะไปได้ไกลครับ  

 
Social Media ต่างๆ มันเป็นเพียงแค่ช่องทางนึงในการประชาสัมพันธ์ครับ ขายครับ   ซึ่งปัจจัยต่างๆที่ทำให้คนเราส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อ  มันยังเหมือนเดิมตั้งแต่สมัยก่อนมาจนถึงปัจจุบันไม่เปลี่ยนแปลง  นั่นคือ   สินค้าต้องดี   แบรนด์ดูน่าเชื่อถือ  ราคาเหมาะสม  บริการการขายการจัดส่งดี  ติดต่อสื่อสารง่าย   สรุปคือ ต้องมีแผนธุรกิจ โมเดลธุรกิจ และ การทำแผนการตลาดที่ดี ควบคู่ไปด้วย

จำนวนไลค์ จำนวนแชร์ มันเป็นแค่ ตัวเลขที่บอกว่ามีกี่คนที่รู้จัก และ บอกต่อ  แต่มันไม่ได้บอกว่า เค้าซื้อ และ เค้าชอบ สินค้าและแบรนด์ของคุณนะครับ อย่าไปหลงกับ ไลค์ กับ แชร์ จนมากเกินไปนะครับ  

ตั้งสติ แล้ว กลับมามองที่ธุรกิจในความเป็นจริงดีกว่า
เพราะยังไงซะเราก็ต้อง Balance กันให้ได้ระหว่าง โลกออฟไลน์ กับ โลกออนไลน์ ครับ  
อย่าไปเพิ่งเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง


ARA
#Socialmedia #ขายออนไลน์
 

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เพิ่มยอดขายจาก Product Line



เพิ่มยอดขายจาก Product Line



หลายๆคนหลายๆธุรกิจ บางทีก็เดินมาถึงจุดที่ไม่รู้จะไปต่อยังไง ยอดขายก็ดันขึ้นไม่ได้ จะขายเยอะขึ้นก็ไม่รู้จะทำยังไงได้อีก นอกจากขยายตลาดไปเรื่อยๆ จะมีทางไหนมั้ยที่จะเพิ่มยอดขายให้กับลูกค้ากลุ่มเดิมที่เคยซื้อสินค้ากับเราได้ ส่วนเรื่องเพิ่มราคาเนี่ย เป็นเรื่องที่ยากจริงๆเพิ่มแล้วแทนที่รายได้จะเพิ่ม ลูกค้ากลับหนีไปซะอีก

อีกกลยุทธ์นึงที่ทำได้คือการเพิ่มไลน์สินค้าเข้าไป ยกตัวอย่างนะครับ สบู่ 1 ก้อน ปกติคนอาบน้ำสองเวลา คนขายสบู่ก็จะขายได้ปกติ และคนใช้ก็ใช้ทุกวันเท่าๆกัน อยู่ๆ ก็มีสบู่ล้างมือขึ้นมา ที่คนสามารถล้างมือได้หลังจากเข้าห้องน้ำ หรือว่าสบู่สำหรับจุดซ่อนเร้น หรือสบู่ล้างหน้าขึ้นมา หรือแม้แต่พวกครีมโลชั่นต่างๆหลังจากอาบน้ำเสร็จต่างๆเหล่านี้ ด้วยตัวอย่างง่ายๆแบบนี้เราก็จะเห็นภาพว่า การเพิ่มยอดขายให้กับลูกค้ากลุ่มเดิมโดยที่ไม่ต้องไปบังคับให้ลูกค้าใช้มากขึ้นเพราะว่ามันอาจจะใช้เยอะขึ้นไม่ได้แล้ว จะเพิ่มยอดขายโดยการเพิ่มราคาอันนี้ก็ยิ่งแย่ การเพิ่มไลน์สินค้าอาจจะช่วยให้เราสามารถขายสินค้าเยอะขึ้นให้กับกลุ่มเป้าหมายเดิมของเราได้

กลับมาที่สินค้าคุณ ลองหาจุดใหม่ๆ อะไรที่จะขยายเพิ่มได้ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย แต่คิดให้ดีให้สอดคล้องกับผู้บริโภค บางทีเราอาจจะทำกำไรเพิ่มขึ้นได้มากมาย หากเรารู้จักผู้บริโภคและกลุ่มเป้าหมายของเราดีพอครับ


YES Club (Young Entrepreneur Society)


#ธุรกิจ #กลยุทธ์

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

5 สิ่งที่ควรทำเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโต




5 สิ่งที่ควรทำเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโต


เมื่อตัดสินใจโดดออกจากเรือลำใหญ่มาลงเรือของตัวเองกันแล้ว ทางที่ทำได้ก็แค่การทำให้ธุรกิจและฝันของเราไปถึงฝั่งฝันให้ได้ ผมได้มีโอกาสอ่านบทความของ forbes เกี่ยวกับคำแนะนำเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ธุรกิจของ SME ทั้งหลายหรือแม้แต่คนที่ลาออกมาเป็น startup กันให้สามารถเติบโตกันได้ ซึ่ง มีทั้งหมด 5 ข้อที่เราควรจะรู้กันและนำไปปฏิบัติเพื่อให้ธุรกิจคุณเติบโตกัน

1. หาที่ปรึกษาดีๆ: สำคัญมากๆ ในทุกๆธุรกิจ การหาที่ปรึกษาดีๆ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน หรือแม้แต่มืออาชีพในเรื่องนั้นๆมาช่วยให้คำปรึกษา ประสบการณ์และมุมมองเค้าจะสามารถมาช่วยเติมเต็มสิ่งที่เราขาดได้เป็นอย่างดี อย่าไปจำกัดว่า การทำงานส่วนตัวธุรกิจส่วนตัวจะต้องเป็นการทำคนเดียว เราต้องเก่งเองทั้งหมด ต้องเข้าใจว่าเราไม่มีทางเก่งเองทุกเรื่องได้ อาจจะรู้ได้ทุกเรื่องแต่เก่งทุกเรื่องนั้นทำได้ยากมาก สู้เอาเวลาที่จะไปรู้ทุกเรื่อง หาตัวช่วยมาช่วยเราคิดได้ดีกว่า

2. ออกกำลังกายบ้าง: การออกกำลังกายทำให้ร่างกายแข็งแรง ผ่อนคลายจากความเครียด และทำให้สมองเราโปร่ง นอกจากนี้ยังเป็นตัวกระตุ้นทัศนคติชั้นดี เนื่องจากการออกกำลังกายจำเป็นต้องมีวินัยมาก และต้องทำต่อเนื่องกันเป็นเดือนๆปีๆ หรืออาจจะตลอดไป เช่นเดียวกับการทำงานครับ

3. ตั้งตารางการทำงาน: อย่าคิดว่าการที่ทำธุรกิจของคุณเองแล้วคุณจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ก็อาจจะทำได้แบบนั้น แต่การทำให้ระบบงานและตารางเวลาชัดเจนว่าในหนึ่งวันคุณต้องทำอะไรบ้าง จะทำให้คุณสามารถเคลียร์งานได้เยอะอย่างที่คิดไม่ถึงเลยทีเดียวละ ถ้าโจทย์คือการเติบโตของธุรกิจ การตั้งตารางการทำงานและทำให้ได้ตามที่เราตั้งไว้จะช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตได้ไม่ยาก

4. วิเคราะห์จุดอ่อนของคุณเอง: ไม่มีใครไม่มีจุดอ่อน มีทุกคน อย่าพึ่งคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดี การที่เรารู้จุดอ่อนได้ ทำให้ความเสี่ยงของธุรกิจลดน้อยลง และเราสามารถหาทางแก้ไขที่ดีขึ้นเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีขึ้นได้ เราอาจจะแก้ไขที่เราโดยตรง หรือหาตัวช่วย หรือหามืออาชีพมาช่วยติวมาช่วยเราทำในเรื่องที่เราไม่ถนัดได้

5. ตั้ง Deadline: การตั้ง deadline ไว้ทำให้การทำงานไม่ย้วย และมีกำหนดการที่ชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรเสร็จเมื่อไร หากย้อนกลับไปเมื่อวัยเรียน การอ่านหนังสือเตรียมสอบจะไม่ใช่เรื่องยากเลยหากในแต่ละวันเรากำหนดเอาไว้ว่าต้องอ่านส่วนไหนมากน้อยแค่ไหน แต่ส่วนใหญ่ที่ทำกันคือ ไปอ่านมัน 2-3 วันก่อนสอบ (ผมก็ทำ 55) ดังนั้นการตั้ง deadline ที่ดีจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และนี่ก็คือ 5 วิธีง่ายๆที่คุณสามารถนำไปใช้เพื่อทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ครับ 

YES Club  (Young Entrepreneur Society)

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Internal Brand ปรับลุคองค์กรจากข้างใน



Internal Brand ปรับลุคองค์กรจากข้างใน


ทุกวันนี้องค์กรต่างๆ ต่างปรับตัวเพื่อให้เข้ากับผู้บริโภคในทุกๆด้าน การทำ branding ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างนึงที่หลายๆองค์กรกำลังจะปลุกปลั้นให้เป็นกัน และจะคุ้นเคยกับว่า ทำแบรนด์ๆๆๆ โดยมีที่ปรึกษาด้านการตลาด ด้านโฆษณามาช่วยกันคิดกันทำเต็มไปหมด ให้ทั้ง corporate brand และ product นั้นมีกลยุทธ์การทำแบรนด์ที่ดีกัน

แต่เราลืมอะไรกันไปรึเปล่าครับ การทำแบรนด์นั้นจริงๆ มันคือภาพรวมทั้งหมดขององค์กร ไม่ใช่แค่การใส่เสื้อสีเดียวกัน หรือแค่การเปลี่ยนแพ็คเกจ การเปลี่ยนโลโก้ หรือว่าทำชื่อแบรนด์เท่านั้น แต่มันคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรและดึงคุณค่าขององค์กร ใส่กลับลงไปใน corporate brand และสินค้า ด้วยเหตุผลนี้ การทำแบรนด์จะไม่ต้องพยายามทำอีกต่อไปเพราะเมื่อองค์กรนั้นๆเป็นแบรนด์นั้นเองแต่แรก ไม่ต้องสร้างไม่มีความจำเป็นต้องจับยัดความเป็นอะไรบางอย่างลงไป

ยกตัวอย่างเช่น องค์กรๆนึงเป็นบริษัทเก่าแก่ตั้งมานานหลายสิบปี มีนโยบายการดำเนินงานที่ค่อนข้างจะล้าหลังและโบราณ แต่สินค้าที่ขายนั้น อยากจะปรับภาพเป็นสินค้าที่ทันสมัย ด้วยชื่อแบรนด์ ด้วยโลโก้ แพ็คเกจจิ้งที่สวยงามดูน่าหลงไหลและทันสมัยมาก ซึ่งไม่แปลก สามารถทำได้ ไม่มีอะไรผิดและไม่มีใครห้ามนะครับ และส่วนมากก็ทำแบบนี้ แต่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ หลังบ้านซึ่งมีคนตัวเป็นๆ กำลังทำสินค้าออกไปขาย สร้างภาพต่างๆนานาเพื่อให้สินค้าตัวนี้ดูทันสมัย แต่คนหลังบ้านกลับไม่ได้รู้สึกไปในทางเดียวกัน มันไม่ช่วยให้งานง่ายขึ้นเลยครับ

ลองคิดดูว่าอย่างตัวอย่างที่ยกไป หากองค์กรนี้เป็นองค์กรที่ทันสมัย พนักงานทำงานกันด้วยความสนุกและมีความคิดสร้างสรรค์ตลอด เรียกได้ว่าเป็นองค์กรของคนรุ่นใหมไฟแรงอย่างแท้จริง และเมื่อองค์กรแบบนี้ทำแบรนด์ออกมาเพื่อสื่อถึงความทันสมัย สินค้าและองค์กรรวมถึงพนักงานในองค์กรจะเป็นสิ่งเดียวกัน พนักงานทุกคนไม่ต้องพยายามสร้างภาพ ไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นในสิ่งที่เค้าไม่ได้เป็น ดังนั้น จะดีกว่ามั้ยถ้าวันนี้เราจะทำ Brand โดยการสร้าง DNA ของ Brand ผ่านวัฒนธรรมองค์กรก่อน สร้างจากความเชื่อขององค์กรแล้วค่อยส่งต่อ value ไปต่อยังผู้บริโภค เราเริ่มจากสิ่งใกล้ตัวเรา เราเริ่มจากสิ่งที่เราเป็น ทำให้พนักงานรู้สึก องค์กรอย่างที่ผมยกตัวอย่างไป สามารถ renovate สามารถตบแต่งและเลือกคนที่มีความทันสมัยเข้ามาช่วยสร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมให้สอดคล้องกลับแบรนด์ได้จะช่วยส่งเสริมและทำให้พนักงานก็เชื่อในสิ่งที่เค้ากำลังทำ มากกว่าเป็นบริษัทคร่ำครึ ห้องทำงานเก่า อุปกรณ์ต่างๆดูล้าหลัง มันจะไม่สร้างความเชื่อให้กับพนักงาน และเมื่อพนักงานไม่เชื่อ เค้าก็จะส่งต่อไปยังสินค้าต่างๆ ทำให้หลายๆครั้ง แบรนด์ที่พยายามจะเป็นบางอย่าง จึงไม่ได้เป็นมาจากข้างในและในท้ายสุดก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้

ดังนั้นหากจะเริ่มทำแบรนด์ไม่ว่าจะทำภาพลักษณ์ขององค์กรหรือสินค้า อย่าลืมที่จะเริ่มด้วยการสร้างวัฒนธรรมและความเชื่อจากภายในกันก่อนนะครับ และสิ่งที่ได้ผลลัพธ์กลับมาจะเกินกว่าสิ่งที่คุณคาดเอาไว้แน่ๆครับ

YES Club (Young Entrepreneur Society)

#แบรดน์ #branding #strategy



วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

จงโฟกัสในสิ่งที่เราถนัด



จงโฟกัสในสิ่งที่เราถนัด

ในโลกนี้แต่ละคนแต่ละองค์กรจะมีความถนัดแต่ละอย่างที่ไม่เหมือนกัน คนในองค์กรก็ถนัดไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับแต่ละแผนกที่ต่างคนต่างความรับผิดชอบ เพราะความถนัดที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น บัญชี การเงิน การตลาด การผลิต ล้วนแต่มีควาสามารถในมุมที่ต่างกันออกไป

คุณเองและธุรกิจคุณเองก็เช่นกัน คุณจะรู้ตัวดีที่สุดว่าคุณถนัดอะไรและไม่ถนัดอะไร เราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่างถึงแม้เราจะต้องรู้ทุกอย่าง แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว การที่เรารู้ว่าเราไม่เก่งอะไรและเก่งอะไร ทำให้เราสามารถไปโฟกัสสิ่งที่เราถนัด และให้คนที่เก่งในเรื่องที่เราไม่ถนัดสามารถมาช่วยอุดรูรั่วนั้นได้

การโฟกัสไปยังสิ่งที่เราถนัดนั้น ทำให้เกิดข้อได้เปรียบในการแข่งขันเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่าง คุณเป็นโรงงานผลิต ผลิตสินค้าให้กับคนมีอายุ คุณเก่งผลิตและเข้าใจเรื่องการผลิตได้เป็นอย่างดี โดยปกติคุณจะผลิตและนำสินค้าไปขาย พูดง่ายๆก็คือผลิตเองแล้วขายเอง ทำแบบนี้มาตลอด วันนึงอยากจะขยายตลาดไปยัง segment อื่น โดยที่คุณก็ยังอิงกับตลาดผู้สูงอายุอยู่เช่นเดิมแต่คราวนี้คุณเลือกที่จะไปทำธุรกิจ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และถึงแม้จะเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน อายุ เหมือนกัน มีลักษณะต่างๆเหมือนกันหมด แต่การทำธุรกิจต่างกันสิ้นเชิง เพราะครั้งนี้คุณกำลังก้าวไปอยู่ในธุรกิจบริการ ซึ่งจะมีโครงสร้างและจุดตายของธุรกิจที่แตกต่างจากการผลิตอย่างสิ้นเชิง ในแง่ของการผลิตแล้วคุณอาจจะเป็นอันดับต้นๆของประเทศได้ไม่ยากเพราะว่าเทคโนโลยีและความชำนาญนั้นคุณสะสมมามากมายหลายสิบปี แต่สำหรับธุรกิจบริการนั้นคุณคือเด็กอมมือคนนึงที่ไม่ได้เปรียบอะไรใครมากเท่าไร จะดีหน่อยก็แค่ว่า คนกลุ่มนี้จะพอรู้จักคุณบ้าง แต่ก็ในฐานะอื่น และเมื่อคุณก้าวเข้าสู่ธุรกิจบริการ การแข่งขัน เวทีการต่อสู้ กระบวนท่าต่างๆ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมกำลังจะบอกว่าคุณสามารถทำได้ แต่ข้อได้เปรียบไม่ได้อยู่ที่คุณอีกแล้ว

ดังนั้นท้ายสุดและสุดท้าย การโฟกัสในจุดแข็งที่เรามีเป็นเรื่องที่น่าทำ พยายามหาจุดแข็งของตัวคุณเองที่คนอื่นทำได้แย่กว่า และพยายามต่อยอดจากจุดแข็งของคุณไปยังธุรกิจอื่นที่ยังใช้จุดแข็งของคุณได้

หากให้นกแข่งกับปลา ลิงแข่งกับนก ก็ยากจะบอกใครชนะ จนกว่าคุณจะบอกว่าแข่งอะไร และแข่งที่ไหน? หาสนามแข่งที่เป็นสนามของคุณในการทำธุรกิจให้เจอครับ นั่นจะเป็นสนามที่คุณจะชนะได้ทุกคู่แข่ง ขอให้โชคดีครับ

#ธุรกิจ #การแข่งขัน

YES Club (Young Entrepreneur Society)