วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สรุปงานให้ได้ใน 1 แผ่น




สรุปงานให้ได้ใน 1 แผ่น




ไม่ว่าตอนทำงานที่ไหน การสรุปใจความของงานให้ได้ให้กระชับเป็นเรื่องดีมากๆ ยิ่งสามารถสรุปให้อยู่ได้ในกระดาษแผ่นเดียวได้ยิ่งดี ในเมื่อเราเสียเวลาคิดแผนงานกันออกมาเยอะมากๆ หลายๆครั้งเรากลับแค่ประชุมลอยๆ รับรู้ลอยๆ และไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่หากเราประชุมเสร็จและสามารถสรุปเรื่องทั้งหมดรวมถึงกลยุทธ์ระยะยาวได้ในแผ่นเดียวด้วยแล้วนั้นจะทำให้การทำงานง่ายขึ้นมากๆ



ทำไมน่ะเหรอครับ? เพราะว่าเวลาเราสรุปรายละเอียดที่คุยกันหมดแล้ว เช่นว่า กลุ่มลูกค้าคือใคร Segment ไหน Key message อะไร Consumer insight มีอะไรบ้าง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้หากเราไม่ระบุไว้ชัดเจน เราทำงานไปเรื่อยๆเราจะเริ่มเบลอและออกนอกจุดที่เคยคุยเคยตกลงกันไว้ เวลาเราทำงานไปจนถึงจุดนึงก็จะออกทะเลไปเรื่อยๆ ดังนั้นการมีไบเบิลไว้คอยกำกับความคิดและทิศทางการทำงานของทั้งทีมมีประโยชน์มากๆ ซึ่งหากเราสรุปรายละเอียดได้ทั้งหมดเมื่อไร เราสามารถส่งให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้องได้ และทุกๆครั้งที่เดินเข้าห้องประชุมหรือว่าต้องถกเถียงอะไรกัน เราสามารถหยิบกระดาษแผ่นนี้ขึ้นมาถกกันได้ด้วยเหตุผลได้เป็นอย่างดี



นอกจากนี้เราจะตัดอารมณ์ในการตัดสินใจออกได้ทั้งหมด เราจะสามารถลดอคติความชอบและไม่ชอบออกไปได้ ตัวอย่างเช่น เรากับบริษัทโฆษณาตกลงทำหนังกันเรื่องหนึ่ง เวลาที่ทางบริษัทโฆษณาเข้ามาเพื่อ present board ต่างๆ สิ่งที่ผมเจอบ่อยๆคือคอมเม้นท์ถึงความชอบส่วนตัว ผมชอบ ผมไม่ชอบ ผมคิดว่าดี ผมคิดว่าไม่ดี..... ซึ่งมันไม่ใช่ การทำงานเราไม่สามารถนำอารมณ์และความชอบส่วนตัวมาตัดสินใจอะไรได้ เราจำเป็นต้องบอกถึงเหตุผลได้ และไบเบิลตัวนี้จะช่วยเราได้เป็นอย่างดีเพราะว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เราจะเอาเหตุผลและ fact ทั้งหมดที่สรุปมามาถกเถียงกันด้วยเหตุผลได้



ทั้งหมดนี้ทำให้การทำงานเราง่ายขึ้นเยอะ และสามารถทำงานกับลูกน้องหรือหัวหน้าได้ง่ายขึ้นมาก และลดการนำเอาอารมณ์และเหตุผลส่วนตัวมาใช้ตัดสินใจได้อย่างดีทีเดียวครับ ยังไงลองเอาไปใช้กันดูนะครับแล้วมาบอกด้วยว่าดีหรือไม่ดียังไงบ้าง (สำหรับคนที่กำลังอยู่ในขั้นของการวางแผนจะเอา business model มากางไว้เป็นไบเบิลก็ได้นะครับ) หรือหากอยากศึกษาการเขียน business model เพิ่ม ทางเพจเคยเขียนบทความเอาไว้ด้วยนะครับที่http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/business-model-canvas.html





YES Club (Young Entrepreneur Society)

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เราจะเอาอะไรไปสู้จีน


สิ้นปีนี้ หรืออีกนัยคือต้นปีหน้า AEC กำลังจะเข้ามาแล้ว การผ่านแดนของสินค้าจะเป็นอัตราภาษีศูนย์ แรงงานจะไหลเวียน เงินทุนจะคล่องตัว หวังว่าทุกท่านคงเตรียมตัวกันแล้วนะครับ  

โดยความเห็นส่วนตัว AEC กันเองระหว่างเราก็ถือว่าเป็นข้อดีของไทย เพราะการเปิดเสรีเพิ่มขึ้นอีก 4 ประเทศ (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียตนาม) นั้น ไทยได้ประโยชน์เต็มๆ เนื่องจากยุทธศาสตร์เราได้ แต่ที่น่ากลัวและต้องตื่นตัวจริงๆ คือการค้าระหว่าง AEC กับ จีนมากกว่า

ด้วยเหตุผลทั้งทางภูมิประเทศและความสัมพันธ์ จีนต้องการให้ไทยเป็นเหมือนเมืองท่าอีกเมืองของจีน ที่รับสินค้าจากจีนมากระจายต่อไปยังอาเซียน ไม่ใช่แค่จีนที่เห็น สหรัฐอเมริกาก็เห็น (ถึงได้มีการงัดข้อกันระหว่างสองประเทศนี้บ่อยครั้งในประเทศแถบนี้) สินค้าจากจีนที่มีราคาถูกกว่า แม้คุณภาพบางตัวจะด้อยกว่า เข้ามาตีตลาดในไทย และแน่นอนก็มีธุรกิจหลายประเภทล้มหายตายจากกันไป จึงมีคำถามให้หลายคนสงสัยว่าเราจะถูกจีนกลืนมั้ย ในอนาคตเราจะเป็นได้แค่ลูกไล่ของจีนรึเปล่า ผมคงตอบแบบฟันธงไม่ได้เพราะขึ้นอยู่กับนโยบายประเทศเราและการปรับตัวของ SMEs แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นักธุรกิจไทย ก็เก่งพอที่จะปรับตัวยืนบนตลาดโลกได้ แม้การสนับสนุนของราชการไม่ได้เพียงพอและทันสถานการณ์เท่าที่ควร (ถ้าสนับสนุนดีๆ จะดีขนาดไหน)

มองดูผิวเผินเหมือนว่าเราจะอยู่ในลีกเดียวกับพี่จีน ซึ่งผลิตสินค้าแทบจะคล้ายกันสามารถผลิตได้ทุกอย่างในโลกใบนี้ แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ มันยังมีช่องทางเหลืออยู่อีกเสมอสำหรับสินค้าไทย ถ้ามองในแบบธุรกิจ จีนเหมือนธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนไทยเราเหมือนขนาดเล็ก หรือ SMEs ถ้าเราจะสู้กับจีน เราต้องสู้แบบ SMEs เท่านั้น กลยุทธ์ SMEs ก็มีไม่กี่อย่างครับ 1. เร็ว 2.ยืดหยุ่น 3.ตลาดเฉพาะ เหมือนนักเตะทีมชาติไทย ตัวเล็ก เน้นเร็ว คล่องแคล่ว และมีแต่อาวุธหนักๆ เท่านั้น

หลายๆ ประเทศเจอผลกระทบจากจีน ก็ต้องปรับตัวโดยใช้กลยุทธ์ธุรกิจเล็กแทบทั้งสิ้น เช่น ไต้หวัน จากที่เคยผลิตสินค้าได้หลากหลายแบบไทย เช่น พวกการ์เม้น หลายสิบปีก่อนก็ยกเครื่องทั้งประเทศ โดยการโฟกัสขอเป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง ทั้งเกาะทำเหมือนกัน แต่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้ เห็นว่าล่าสุดก็กำลังยกเครื่องใหม่เป็นเมือง carbon-free สามารถปั่นจักรยานได้ทั่วเกาะด้วยอีก

มาเลเซีย จากที่เมื่อก่อนเคยปลูกยางพาราขายแข่งกับไทย ตัดราคากันอย่างเมามัน วันนึงก็บอกว่าเลิกทำละยางพารา ทำไปก็เจ็บตัวเปล่าๆ เปลี่ยนไปปลูกปาล์มอย่างเดียวพอ จนทุกวันนี้เป็นเบอร์หนึ่งการส่งออกผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมันไปแล้ว

ฟิลิปปินส์ จากที่เคยเป็นคู่แข่งกับไทย ทุกวันนี้เปลี่ยนใหม่ ด้วยพื้นฐานภาษาอังกฤษดี ค่าแรงถูก ประชาชนชอบการบริการ จึงเปลี่ยนตัวเองเป็น Business Processing Outsource คือบริการทุกอย่างที่เกี่ยวกับการดำเนินงานให้ธุรกิจชั้นนำข้ามชาติ เช่น คนในอเมริกาจะโทรหา Call Center ในอเมริกาด้วยกัน ระบบจะโอนสายอัตโนมัติไปหา Call Center ที่ฟิลิปปินส์เลย อาจจะงงว่าคุ้มกันมั้ย แต่คิดค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จแล้ว ถูกกว่าจ้างคนอเมริกันรับสาย (เดิมอินเดียเป็นคู่แข่งสำคัญ แต่ตอนนี้ฟิลิปปินส์ตีตลาดกระจุย)

กลับมามองที่ไทยเรา ด้วยความเป็นประเทศที่ประชาชนเป็นมิตรต่อคนต่างชาติ รักการบริการ อุดมสมบูรณ์ และชื่นชอบการพักผ่อนมากกว่าทำงาน ธุรกิจที่ดีและมีศักยภาพสำหรับประเทศเราคงหนีไม่พ้น การท่องเที่ยว บริการด้านโรงพยาบาล การเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมความงาม บันเทิง หัตถกรรม และการบริการทุกประเภท เป็นงานที่เราทำได้ดีกว่าจีนและแทบทุกชาติในโลกนี้ ธุรกิจที่ท่านดำเนินการอยู่หากดีอยู่แล้วก็ขอให้พัฒนาต่อไป แต่อย่ามองข้ามธุรกิจศักยภาพเหล่านี้ด้วยนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดี

#YESCLUB #KAL #EXPORT #IMPORT #AEC #CHINA #EXIM            
AEC กับ SME ไทย

ใครเป็นใครในตลาดส่งออก



วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ลาออกมาแล้วไปทำอะไร ตอน2



ลาออกมาแล้วไปทำอะไร ตอน2




จากที่ผมได้เขียนไว้ตอนแรกนะครับเมื่อหลายวันก่อนนู้นนนน วันนี้เลยอยากมาเขียนต่อ



ประเด็นของวันนี้คืออยากให้เรามองตัวเองและมองตลาดไปพร้อมๆกันครับ เราอาจจะมีสิ่งที่เราทำได้หลายอย่างที่เราทำได้ดีมากๆ ดีกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ต้องดูอีกด้านนึงด้วยว่ามีตลาดมากน้อยแค่ไหน ผมเลยลองทำเป็นตารางขึ้นมาให้ดูและลองมองย้อนดูตัวเราเองครับ



1. ทำได้ดีและมีตลาดที่รองรับที่ใหญ่:หากเราทำอะไรได้บางอย่างและในตลาดก็มีความต้องการสิ่งนี้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือ การจัดดอกไม้ การถ่ายรูป ทำอาหาร เขียนหนังสือ งานศิลปะ แม้แต่การเก่ง Microsoft ที่เราใช้กันอยู่ทุกๆวัน เราสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นธุรกิจได้ไม่ยากเลยครับ



2. ทำได้ดีแต่ตลาดรองรับเล็กหรือไม่มีตลาดเลย: หลายคนอาจจะอยู่ตรงนี้ รู้ดีว่าตัวเองมีดีอะไร เพียงแต่ว่ามันไม่มีตลาดรองรับเท่าไร หรือไม่รู้ว่าจะทำให้มันเป็นธุรกิจยังไง ลองคิดดูว่าหากคุณนอนเก่ง ซึ่งคุณสามารถไปนอนที่ไหนก็หลับได้ หลับได้เป็นวันๆ คุณอาจจะเก่งกว่าคนอื่นๆ แต่มันก็ยากที่จะเอาความเก่งตรงนี้ไปทำเป็นธุรกิจได้ (หรือว่าได้แฮะ) ซึ่งในโลกของ social network เดี๋ยวนี้หากคุณสามารถทำ PR ให้ตัวคุณเองดีๆได้ ด้วยความสามารถบางอย่างที่คุณอาจจะคิดไม่ถึงว่ามันจะติดตลาดได้ ลองแสดงออกผ่านทาง social network ดูก่อนก็ได้ครับ



3. ทำได้ไม่ดีแต่มีตลาดใหญ่รองรับ: พูดง่ายๆคือว่ามีบางอย่างที่เรารู้ตัวว่าเราทำได้ไม่ดี แต่มองเห็นตลาดที่ใหญ่อยู่ ตรงนี้จะบอกว่ายากก็ยากจะบอกว่าง่ายก็ง่าย ประเด็นสำคัญคือเราจะหาทางให้เราไปเป็นคนที่เก่งในเรื่องๆนั้นได้อย่างไร เราอาจจะพัฒนาตัวเอง ไปเรียนเพิ่ม ศึกษาด้วยตัวเอง อ่านหนังสือ หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมเห็นหลายคนที่อยู่กลุ่มนี้แต่โฟกัสมากๆจนถีบตัวเองไปยังกลุ่มที่ทำได้ดีจนเรียกได้ว่ามือโปรเลยละครับ



4. ทำได้ไม่ดีและไม่มีตลาดรองรับ: อันนี้ง่ายมาก อย่าไปเสียเวลากับเรื่องนี้เลยครับ



ส่วนเรื่องว่าจะวัดยังไงว่าเราเก่งหรือไม่เก่ง ผมว่าไม่ยากครับอย่างที่บอกไป social network ทั้งหลาย Facebook, youtube หรืออะไรก็แล้วแต่มีเวทีให้คุณได้ลองปล่อยของครับ ค่อยๆลองค่อยๆปรับไป ไอที่คิดว่าใช่อาจจะไม่ใช่ ที่คิดว่าไม่ใช่อาจจะใช่ครับ คุณอาจจะเห็นศักยภาพตัวเองว่ามากน้อยแค่ไหนในเวลาเดียวกันคุณก็เห็นด้วยว่ามีตลาดอยู่มากน้อยแค่ไหน ลองทำการบ้านซักนิดค้นหาข้อมูลในเน็ตไปเรื่อย คุยกับคนรอบๆตัวว่าสิ่งที่คนกำลังสนใจกันอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องไหนกัน ไม่แน่ว่าสิ่งที่คุณไม่รู้ตัวว่าคุณทำได้ดี อาจจะนำมาซึ่งธุรกิจที่ดีมากๆให้คุณเลยก็ได้ครับ



Yes Club (Young Entrepreneur Society)



#ลาออก #ธุรกิจส่วนตัว

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เทรนด์ของการส่งออกระดับโลก (ตอน 2)



เมื่อวานพูดไปแล้ว 2 เทรนด์ วันนี้ต่อกันเลยนะครับ

3.    สินค้าต้องมีสตอรี่

ชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาติที่เจริญแล้วไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น นั้นเป็นพวกบ้าสตอรี่ครับ สินค้าธรรมดานี่แหละ แต่ถ้าประวัติดี เรื่องราวดี มันขายได้ เพื่อนผมคนหนึ่งขายสินค้าธรรมดาอย่างข้าวแต่ข้าวของเขาไม่ธรรมดา เป็นข้าวที่ปลูกได้ที่เดียวในโลก ใช้เมล็ดพันธุ์ที่หายาก และต้องปลูกที่นั่นเท่านั้น เนื่องจากดินน้ำและอากาศของที่นั่น เหมาะสม ถึงจะได้ข้าวพันธุ์นี้พันธุ์เดียว และต้องปลูกจำกัดปริมาณในแต่ละปี คนปลูกต้องผ่านการอบรมและสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเท่านั้น ปรากฏว่าข้าวของเขาขายได้ราคาแพงกว่าข้าวปกติเท่าตัว ลูกค้าแย่งกันซื้อแทบจะไม่พอขายจริงๆ

แม้แต่ตลาดในไทยเองก็ชอบสตอรี่เช่นกัน สินค้าธรรมดาอย่างเช่นชาเขียว แค่บอกว่าเด็ดเฉพาะยอดใบชา 3 ใบมาทำ ก็ขายได้แล้ว (แม้หลังๆ จะต้องอาศัยการแจกทองช่วย เพราะใครๆ ก็เด็ดยอดใบชา 3 ใบได้) การสร้างสตอรี่นั้นมันเป็นจุดขายจริงๆ ที่ทำให้สินค้ามีคุณค่า ลูกค้ายอมจ่ายเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้คุณค่านั้นๆ และเหตุผลสำคัญจริงๆ คือการผลิตสินค้าให้เหมือนกันนั้นมันทำได้ง่ายกว่าเดิม แต่สตอรี่และที่มาของสินค้านั้นมันเลียนแบบกันได้ยาก คนเรามันชอบสตอรี่จริงๆ ครับ ไม่งั้นกระทู้พันทิปคงไม่ฮิตกันถึงทุกวันนี้
4.       ลูกค้าแสวงหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เรื่องนี้พูดถึงทั้งการดูแลสุขภาพ การกินอยู่ การท่องเที่ยว และไลฟ์สไตล์ทั้งหมดนะครับ

ผมส่งออกอาหารก็มีแต่ลูกค้าถามว่าสินค้าผมเป็นออแกนิคมั้ย บางรายถามถึงว่าถ้าเป็นสินค้าฮาลาล (Halal, มาตรฐานการผลิตอาหารหรือสินค้าอื่นๆ ที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม) หรือ โคเชอร์ (Kosher, มาตรฐานอาหารของชาวยิว) จะสั่งซื้อไม่อั้น ที่น่าแปลกคือคนที่สั่งซื้อสินค้าเหล่านี้ ไม่ได้มีแค่ชาวมุสลิมหรือชาวยิวอีกต่อไป คนที่สั่งกลายเป็นผู้เสาะแสวงหาอาหารสุขภาพ เพราะอาหารที่มีมาตรฐานเหล่านี้ ขึ้นชื่อว่ามีกรรมวิธีที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และแน่นอนครับ ราคาย่อมสูงกว่าด้วย

การบริการสุขภาพก็เป็นเทรนด์ใหม่ ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น Medical Hub, Hospital Destination หรือแล้วแต่ว่าใครจะเรียกอะไร ก็คือลูกค้าต่างประเทศมารักษาตัวที่โรงพยาบาลและได้ใช้ชีวิตสะดวกสบาย ไม่เพียงแต่เรื่องราคาที่ไม่แพง เค้ายังคาดหวังบริการ รวมถึงได้มีโอกาสท่องเที่ยวผ่อนคลายในประเทศแห่งการท่องเที่ยวชั้นนำของโลกอีกด้วย สำหรับ SMEs อย่างเรา การทำท่องเที่ยวแบบเน้นธรรมชาติ แหล่งเดียวในโลก บริการเฉพาะกลุ่มเล็กๆ หรือการบริการสุขภาพตามแผนโบราณ ก็อาจจะเป็นอีกเอกลักษณ์ที่หารายได้เข้าประเทศได้ครับ

5.       การอวดการโชว์ จำเป็นต่อการดำรงชีพ พอๆ กับอ๊อกซิเจน

การสร้างตัวตนให้เป็นที่ยอมรับ การสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีในสายตาคนอื่น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเทรนด์ใหม่ทั้งสิ้น เนื่องจากมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม หนึ่งในความต้องการพื้นฐานก็คือการเป็นที่ยอมรับของสังคมครับ ตามกฏมาสโลว์ (Maslow) เมื่อมนุษย์เรามีความต้องการด้านอาหาร ที่อยู่ และความปลอดภัยแล้วเราก็ต้องการการยอมรับจากสังคม ยิ่งสมัยนี้การมี facebook, youtube, instagram เป็นเครื่องมือทวีความอยากอวดมากขึ้น คงไม่ต้องอธิบายมากครับว่าถ้าท่านขายสินค้าที่สามารถเอาไปอวดคนอื่นได้ จะมีลูกค้ามากมายขนาดไหน

คงไม่ต้องบอกนะครับว่าถ้าเราไม่ทำอะไรตามเทรนด์ เราก็อาจจะแค่รวยธรรมดา แต่ถ้าเราทำอะไรตามเทรนด์แล้ว เราก็จะมีโอกาสรวยมากครับ

#KAL #EXPORT #YESCLUB #TREND #ECOMMERCE
เทรนด์ของการส่งออกระดับโลก (ตอน 1)
แนวทางในการทำธุรกิจส่งออกสำหรับมือใหม่
http://www.yesclubbusiness.com/2014/10/blog-post_13.html

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ลาออกแล้วทำอะไรดี??


ลาออกแล้วทำอะไรดี??




ผมเชื่อว่าหลายคนกำลังคิดแบบนี้อยู่ ทำงานอยู่ตอนนี้ก็ไม่มีความสุข จะลาออกก็ไม่รู้ไปทำไรดี เรียกได้ว่ากลับไม่ได้ไปไม่ถึง ผ่านไปปีแล้วปีเล่ามันก็เลยยังอยู่ตรงนี้อยู่ อย่างมากก็ขยับงานย้ายไปบริษัทโน้น ย้ายมาแผนกนั้น วนไปมาแบบนี้เรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า ก็ยังไม่ได้คำตอบให้ตัวเองซักที รอให้พร้อมไปก่อน เวลาก็ผ่านเลยไป จนถึงวันนึงเป็นวันที่มี commitment มากขึ้นเราก็บอกกับตัวเราว่าไม่ต้องลาออกไปหรอกงานมั่นคงแบบนี้ ตอนนี้มีลูกมีครอบครัวแล้ว ลาออกมาเกิดไม่เป็นไปอย่างที่คิดเราจะแย่เอา



ผมก็เห็นด้วยนะครับ การจะออกมาทำอะไรเองต้องคิดหน้าคิดหลังดีๆ ยิ่งคนมีภาระเยอะๆ ผ่อนบ้านผ่อนรถหรือว่ามีครอบครัวแล้วยิ่งไปกันใหญ่ แต่หากคิดเรียบร้อยแล้วติดอยู่แค่ว่าลาออกไปแล้วจะทำอะไรดีเราลองมาตั้งหลักกันดูนะครับว่าเราทำอะไรได้บ้าง



ทำสิ่งที่ถนัด: อันนี้แล้วแต่คนครับว่ามีความสามารถอะไร ถนัดอะไร หรือว่ารู้ลึกในเรื่องไหน มีอะไรที่เรารู้มากกว่าคนอื่น หรืองานประจำของเราสามารถทำให้เราพัฒนาศักยภาพอะไรบางอย่างที่มากกว่าคนอื่น หรือแม้แต่งานอดิเรก เช่น ท่องเที่ยว ถ่ายรูป คุณสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาคิดวิเคราะห์ต่อได้ว่า คุณจะทำอย่างไรให้เป็นธุรกิจได้ สามารถเปลี่ยนเรื่องราวเหล่านี้ให้เป็นเงินให้ได้ เริ่มแรกอาจจะลองๆทำไปเรื่อยๆจนคุณเริ่มคิดแล้วว่ารายได้จากส่วนนี้เริ่มมีส่วนที่มากกว่ารายได้ประจำไปแล้ว คุณอาจจะเลือกที่จะออกหรือไม่ออกก็ได้แล้วแต่คุณ เพราะตอนนี้คุณไม่ต้องกังวลแล้วว่ารายได้คุณจะน้อยกว่าเดิม



ทำสิ่งที่เป็นที่ต้องการของตลาด: มองจากมุมมองลูกค้า ว่าตอนนี้ตลาดต้องการอะไร ลูกค้ายังขาดอะไรอยู่ อะไรที่เป็นเทรน อะไรที่น่าสนใจ เข้าไปศึกษาเลยครับ ตลาดใหญ่ๆมีมุมไหนที่น่าสนใจบ้าง แล้วเราจะเข้าไปอยู่ใน network นั้นได้อย่างไร เราต้องทำอะไรบ้าง เรียกได้ว่าไม่รู้ว่ามีอะไรเกี่ยวกับเรามั้ย แต่ตลาดมันน่าสนใจมากจนเราต้องเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในนั้น อะไรที่ต้องมี อะไรที่ต้องรู้ และเรายังไม่มีไปหาเรียน ไปหาเพิ่มเติมเอาได้ครับ หากคุณตั้งใจจริงๆ ผมว่าสู้ได้กับคนมีความรู้ด้านนี้มาอยู่แล้ว



ทำสิ่งที่ถนัดและเป็นที่ต้องการของตลาด: อันนี้สุดยอดที่สุดครับ หากเรามองตลาดมีความต้องการบางอย่างและเราก็สามารถทำสิ่งนั้นตอบสนองได้ด้วย ผมว่าอันนี้เยี่ยมมากแต่ก็อาจจะยากมากเช่นกันและผมก็เชื่อว่าเป็นไปได้ ครับ



ไม่ว่าทางไหนคุณอาจจะเจอตัวเองอยู่ในข้อใดข้อนึง แล้วลองคิดดีๆ วางแผนดีๆ ก่อนตัดสินใจนะครับ ชีวิตของเรามีทางเลือกเสมอ ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร มันจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดอยู่แล้วครับ

#ลาออก #ลาออกมาทำอะไรดี #ธุรกิจส่วนตัว



YES Club (Young Entrepreneur Society)

เทรนด์ของการส่งออกระดับโลก (ตอน 1)



สวัสดีครับแฟนเพจ Yes Club วันนี้ขอพูดเรื่องเทรนด์การส่งออกสินค้าระดับโลกที่จะกำลังเกิดขึ้นในต่างประเทศนะครับ

เดิมนั้นการส่งออกคือการที่ผู้นำเข้าไปเสาะแสวงหาสินค้าจากผู้ส่งออกของประเทศผู้ผลิต หรือบางรายก็ไปหาผู้ผลิตโดยตรงเลยก็มี โดยผู้ส่งออกส่วนใหญ่ก็คือผู้ผลิตรายใหญ่ หรือไม่ก็เป็นเทรดเดอร์ (ซื้อมาขายไป) รายใหญ่เท่านั้น ส่วนลูกค้าก็เป็นลูกค้ารายใหญ่เช่นกัน ผู้ส่งออก (รวมทั้งผู้ผลิตและผู้ขาย) จะนิยมหาลูกค้าจากงานแฟร์ การไปจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) หรือแม้กระทั่งการขอข้อมูลจากกรมส่งเสริมการส่งออก (ชื่อสมัยนั้น) บางรายกล้าหาญและทุนเยอะ ก็ลงทุนบินไปหา ไปขายของโดยตรงก็มี
แต่สมัยนี้เปลี่ยนไปครับ ผมรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงชัดเจน เพราะผมเคยไปเรียนและฝึกงานด้านการออกบูธส่งออกเมื่อสิบกว่าปีก่อน และปัจจุบันก็ทำส่งออก นอกจากนี้ยังมีการวิจัยจากต่างประเทศสรุปเป็นเทรนด์การส่งออกอีก ผมจึงขอโอกาสนำเทรนด์นั้นมาเล่าผ่านประสบการณ์ของผมเองนะครับ

1.       ตลาดซื้อของออนไลน์แบบขายปลีกโตขึ้นมาก

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหม่กว่าใครในเรื่องนี้ เพราะเรายังได้ยินกันอยู่เลยว่าการส่งออก สามารถหาลูกค้าจากออนไลน์หรือเว็บไซต์ได้ เช่น เว็บ alibaba.com แต่นั่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไปอีกแล้ว เนื่องจากลูกค้าที่ต้องการสินค้าจากเรา ไม่ได้ต้องการแค่ซื้อมาขายต่อ หรือลูกค้าส่ง (Wholesale) เรายังมีตลาดลูกค้าปลีก ที่ต้องการซื้อสินค้าจากผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกโดยตรงอีกด้วย (Retail)

แรกๆ ผมไม่ได้ใส่ใจกับเทรนด์นี้มากนัก แต่พอได้ฟังข้อมูบการนำเข้าสินค้าจากประเทศในกลุ่มยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่นและจีน พบว่าเทรนด์นี้กำลังมาก็ต้องสะกิดใจเลยทีเดียว มานั่งสังเกตจากเว็บไซต์ที่มีการเติบโตชื่อดังอย่าง amazon.com, taobao.com พวกนี้เน้นขายสินค้าปลีกเท่านั้น และยังอนุญาตให้ผู้ขายจากต่างประเทศ ลงทะเบียนขายของให้ลูกค้าได้เลย ก็เชื่อเลยว่าเป็นอีกช่องทางที่ทำเงินได้ดีครับ ในไทยก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อมีเว็บต่างประเทศเปิดบริการให้ลูกค้าไทย และอีกหลายๆ ประเทศ ซื้อของทีละชิ้น และรับของทางไปรษณีย์จากผู้ขายได้เลยเช่นกัน แถมยังมีเมนูภาษาไทยอีกด้วย เทรนด์นี้ก็ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ

2.       ลูกค้าต้องการคุณภาพมากกว่าราคาถูก

ประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นโรงงานของโลก หลักจากที่จีนเปิดประเทศไปแล้วนั้น บรรดาสินค้าราคาถูกได้ถูกกระจัดกระจายไปทั่วโลก ผู้นำเข้ากระหยิ่มยิ้มย่องเพราะมีแหล่งสินค้าถูกที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างงาม แต่อย่างที่เราทราบกันว่าข้อเสียของสินค้าจีน นอกจากต้องการจำนวนการสั่งที่มากแล้ว ยังมีปัญหาในเรื่องคุณภาพอีกด้วย ซื้อมา 1,000 ชิ้น เสียซะ 20% เท่ากับต้นทุนเพิ่มขึ้น 25% ทำให้ลูกค้าหลายรายค่อนข้างเข็ด บางประเทศยี้สินค้าจีน และพยายามหาผู้ผลิตจากประเทศอื่น เช่น เวียตนาม ที่ราคาใกล้เคียงกันแต่คุณภาพรับได้มากกว่าอีกด้วย

ด้วยเหตุผลนี้ลูกค้าจึงคำนึงถึงคุณภาพสินค้าเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยหาวิธีลดต้นทุน ต่อราคา เพื่อให้แข่งขันได้แทน จีนเองก็รู้ตัวและปรับปรุงคุณภาพสินค้าตัวเองให้ดีขึ้น ซึ่งในตอนนี้แม้คุณภาพของสินค้าจีนจะพัฒนาขึ้นมามากกว่าเดิมแล้ว แต่เนื่องจากมีผู้ผลิตจำนวนมากที่ยังไม่อัพเกรดคุณภาพสินค้าตัวเอง จึงทำให้ภาพลักษณ์และประสบการณ์จริงจากลูกค้ายังแก้ไขไม่ได้มากนัก และนี่เป็นโอกาสของสินค้าไทยที่มีคุณภาพในสายตาชาวต่างชาติ และรับจำนวนการสั่งซื้อครั้งละไม่มากได้ รวมถึงความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจ ก็เป็นจุดแข็งสำหรับเราได้เช่นกัน

พรุ่งนี้มาต่ออีก 3 เทรนด์นะครับ
#KAL #EXPORT #YESCLUB #TREND #ECOMMERCE
การตลาด online vs การตลาด offline

แนวทางในการทำธุรกิจส่งออกสำหรับมือใหม่


วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

11 ข้ออ้างที่ทำให้เราไม่ได้เริ่มธุรกิจซักที



11 ข้ออ้างที่ทำให้เราไม่ได้เริ่มธุรกิจซักที




หลายคนมักจะหาข้ออ้างเวลาเราที่อยากทำธุรกิจส่วนตัวแต่ไม่ยอมขยับตัวซักทีจนสุดท้ายเราก็ไม่ได้เริ่มทำอะไร และคอยหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้เรารู้สึกดีไปเรื่อยๆ เรามาดูเหตุผลยอดนิยมกันครับ



1. เด็กเกิน

จริงๆแล้วไม่มีข้อห้ามเรื่องอายุว่าอายุเท่าไรจะทำกิจการส่วนตัวได้ เราอาจจะคุ้นเคยว่าคนที่ประสบความสำเร็จต้องมีอายุเยอะๆ หรือว่าคนที่เป็นหัวหน้าเราก็จะอายุเยอะๆ แต่เดี๋ยวนี้คนอายุน้อยๆประสบความสำเร็จกันได้เยอะแยะหากมีไอเดียและการวางแผนงานที่ดี



2.ไร้ประสบการณ์

เช่นเดียวกับอายุ ไม่มีใครบอกได้ว่าประสบการณ์แค่ไหนถึงจะพอ และมีแค่เพียงสองทางเท่านั้นที่จะเพิ่มประสบการณ์ได้ หนึ่งคือเพิ่มประสบการณ์โดยการทำงานให้คนอื่นและสองเพิ่มประสบการณ์การทำงานโดยการทำงานของเราเอง



3.น้องใหม่ไม่มีใครรู้จักเราและไม่มีใครรู้จักธุรกิจ

ธุรกิจที่ใหม่แน่นอนว่าต้องไม่มีคนรู้จักเราและอาจรวมถึงว่าไม่รู้จักสิ่งที่เราทำด้วย แต่หากเราเห็นช่องว่างและยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนเราก็สามารถเป็นคนแรกที่ทำธุรกิจนี้ได้ เหมือนกับเถ้าแก่น้อยยังไงล่ะ



4.มัวแต่หาธุรกิจที่ไม่ต้องมีคู่หู

จริงอยู่การที่ทำธุรกิจคนเดียวนั้นมันคล่องตัวมากๆแต่การมีคู่หูดีๆจะช่วยเราได้อย่างเยอะเลยละ บางทีการมีคนช่วยคิด การมีคนช่วยตบไอเดีย หรือแย้งสิ่งที่เราคิดบ้าง อาจจะเป็นไอเดียที่ดีกว่าในการทำธุรกิจก็ได้



5.ไม่มีไอเดีย

หลายคนอาจจะอยู่ในขั้นตอนนี้หลายคนอาจจะมีไอเดียเยอะไปหมด แต่ไม่ว่าคุณจะมีหรือไม่มี คุณเริ่มจากสิ่งที่คุณชอบก่อนก็ได้ หรือไม่ก็ลองหาปัญหาให้กับอะไรซักอย่างกับของหรือบริการที่คุณใช้ประจำว่ามันมีอะไรที่ยังไม่สมบูรณ์ มีอะไรที่ควรจะเพิ่มไปมั้ย แล้วลองดูว่าช่องว่างตรงนั้นคุณทำอะไรได้บ้าง



6.ไม่มีเวทีสำหรับมือใหม่เยอะขนาดนั้น

จริงๆแล้วก็อาจเป็นเหตุผลได้ แต่เชื่อมั้ยว่าเราสามารถสร้างเวทีให้เรามีจุดยืนได้ โลกเดี๋ยวนี้ถูกนำด้วย social network คุณแค่มีคอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ตเท่านั้น คุณก็สามารถโชว์สิ่งที่คุณคิดให้โลกเห็นได้แล้ว



7.มีครอบครัวต้องดูแล

ธุรกิจที่กว่าจะได้เงินเข้ามาซึ่งใช้เวลานานเราก็จะหาข้ออ้างว่าเรายังมีภาระที่ต้องเลี้ยงครอบครัวนะ แต่แทนที่จะทำแบบนั้นลองหาอะไรง่ายๆที่ได้เงินเลยมั้ยละ จะได้เพิ่มความมั่นใจด้วยแล้วเมื่อเราทำได้เรื่อยๆเราค่อยขยับไปหางานที่ทำเงินได้มากขึ้น



8.ไม่ต้องตะเกียกตะกาย

อาจจะเป็นข้ออ้างสำหรับบางคนเท่านั้น สำหรับคนที่ครอบครัวสนับสนุนการเงินมาดีตลอดชีวิตอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำอะไรซักอย่างให้ชีวิตมันดีขึ้น คุณก็ไม่ต้องหาอะไรทำ



9.เรารักอิสระ

อิสระเป็นเรื่องดีแต่การธุรกิจอาจทำให้อิสระนั้นหายไป การต้องมีคู่หูการต้องมีลูกน้อง หรือคู่ค้า หรือลูกค้า ทำให้คุณรู้สึกว่ามันไม่เป็นอิสระเลยและเป็นอีกข้ออ้างอีกข้อนึงที่คนมักจะอ้างกัน



10.ไม่มีแบบแผน

หลายๆคนเลือกที่จะทำงานในบริษัทเพราะว่ารูปแบบที่บริษัทสร้างมานั้นมันทำให้เราทำงานง่ายเหลือเกิน การออกมาทำอะไรเองต้องทนอะไรที่ไม่มีแบบแผนไม่ได้ก็จะเลือกไม่ยอมเดินออกมา



11.ไม่มีความแน่นอน

อันนี้เป็นข้ออ้างคลาสสิค การออกมาทำธุรกิจเองนั้นไม่มีความแน่นอนไม่รู้จะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน จะพอกินมั้ย แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดสินเรา มาเลื่อนขั้นให้เรา ประเมินเรา หรือเตรียมไล่เราออกหากผลงานเราไม่ถึงไหน



เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับคนที่ตั้งใจเอาไว้ มีข้ออ้างที่เราชอบอ้างกันกี่ข้อเอ่ย ลองหาทางเอาชนะข้ออ้างต่างๆของคุณให้ได้ครับและได้เดินตามสิ่งที่คุณอยากทำครับ



#ข้ออ้างการเริ่มทำธุรกิจ #การเริ่มธุรกิจ



YES Club (Young Entrepreneur Society)

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อย่าเกลียดฉันเลย งานประจำ

https://www.youtube.com/watch?v=Hv2K_lWOMlY

เชื่อว่าเพลงข้างบนนี้คงเป็นเพลงประจำออฟฟิศของหลายๆ คน โดยเฉพาะเวลาเคร่งเครียด ไปร้องเกะ (แบบไม่มีเจ้านาย) เพราะการทำงานที่เหนื่อยล้า ปัญหาเยอะแยะเต็มไปหมด และยิ่งสมัยนี้คอร์สอบรมสัมมนาเพื่อช่วยให้รวยเร็ว เกษียณไว มีเยอะเกลื่อนตลาดเต็มไปหมด บางที่ก็ของจริง บางที่ก็ของปลอม บางที่ก็เน้นเรื่องบริหารเงิน บางที่ก็เน้นปลุกใจไฟลุก แต่สุดท้ายหลายที่บอกเหมือนกันคือต้องลาออกเท่านั้นจึงจะรวย ตอนคนไปเรียนทีก็ปลุกใจไฟลุกกันที กลับบ้านมาบอกทุกคนรอบข้างว่าต่อไปนี้ผมจะรวย ฉันจะรวย บางคนไฟลุกมากถึงขั้นว่ากลับไปเช้าวันจันทร์ลาออกเลยก็มี

คอร์สเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับการทำงานประจำว่าเป็นตัวฉุดให้คนเราไม่รวยสักที และค่อนข้างจะทำให้เรายิ่งไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ด้วยซ้ำ ประกอบกับที่เราเห็นเพื่อนบางคนที่อายุเท่ากันแต่ออกมาทำธุรกิจเองแล้วประสบ ความสำเร็จ ก็ยิ่งส่งผลให้คนที่ทำงานประจำอยู่มีแนวโน้มเบื่องานตัวเองมากขึ้น และอยากลาออกเร็วขึ้นกว่าเดิม รวมถึงมีทัศนคติลบต่องานที่ตัวเองทำโดยไม่รู้ตัว

ผมเห็นด้วยกับเรื่องอยากรวยต้องทำธุรกิจนะครับ แต่เรื่องเบื่อหน่ายและรังเกียจงานประจำที่ทำอยู่หรือเคยทำนี่ไม่ค่อยเห็น ด้วยเท่าไหร่ มีคนรู้จักของผมหลายคน แค่เริ่มออกมาจากงานประจำไม่นาน ก็ด่าว่างานประจำเสียๆ หายๆ ว่าดีแล้วที่ออกมาได้ ไม่งั้นนะ ไม่อิสระขนาดนี้หรอก ออกมาได้ตั้งนานก็ดีแล้ว ทนทำอยู่ได้ยังไง หรือบางท่านลามกระทั่งพูดจาไม่ดีต่ออดีตเจ้านายกันเลยทีเดียว ผมขออนุญาตเตือนท่านด้วยความหวังดีนะครับ ถึงแม้งานประจำการเป็นลูกจ้าง จะดูด้อยกว่าเป็นเจ้าของ ถึงแม้จะไม่ตอบโจทย์ความร่ำรวยของเรา ถึงแม้จะดูดพลังชีวิตเราไป เราก็ไม่ควรไปด่าว่าให้เสียๆ หายๆ นะครับ ผมมีเหตุผลให้เห็นภาพชัดขึ้นครับ


ข้อแรก การที่ท่านมีเงินเก็บเป็นทุนหรืออยู่รอดชีวิตมาถึงตอนนี้ ก็เป็นเพราะเงินเดือนจากงานประจำที่ท่านทำมาไม่ใช่เหรอครับ การที่ท่านได้บ้านหลังใหม่และดูถูกเหยียดหยามบ้านหลังเก่า มันจะทำให้ท่านดูเป็นผู้ไม่รู้จักบุญคุณรึเปล่า ถ้าท่านเชื่อเรื่องคนกตัญญูรู้คุณแล้วจะเจริญ อย่างน้อยก็น่าจะนึกถึงบุญคุณบริษัทเก่าของท่าน อย่าดูถูกทุกงานที่ท่านเคยทำ เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นตัวเองถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เหรอครับ


ถัดมา หากบางท่านที่ออกมาแล้วไม่สมหวังตามที่ตั้งใจไว้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยังไงวันนึงต้องกลืนน้ำลายตัวเองกลับไปทำงานที่เดิม ท่านจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมั้ยครับไม่ใช่การไม่เต็มที่ แต่เป็นการเผื่อทางหนีทีไล่ไว้แล้ว การทำธุรกิจมีร้อยละ 20 ที่รอดในปีแรก ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าท่านไม่ใช่ 80 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ทำหน้าที่ตัวเองให้เต็มที่ แต่เผื่อทางหนี ทางถอยไว้บ้างก็ไม่เสียหายนะครับ หรือบางทีบริษัทเก่าหรือเพื่อนร่วมงานเก่าของท่านอาจเป็นลูกค้าท่านโดยไม่ รู้ตัวก็ได้


ข้อสุดท้ายเลยคือผลกรรมที่จะตามสนองท่านแน่นอน ในเมื่อบริษัทของท่านเองก็ต้องจ้างลูกจ้าง มีลูกน้องเหมือนกัน จะมีอะไรมาการันตีว่าลูกน้องจะไม่คิดแบบเดียวกับท่านล่ะครับ 


สุดท้ายนี้ก็ขอละครับ ไม่อยากทำงานประจำแค่ไหน หรือไม่อยากกลับไปทำแค่ไหน ก็อย่าเกลียดมันเลยครับ


#KAL #YESCLUB #FINANCIALFREEDOM