เสียงของลูกค้าสำคัญไฉน?
ในการเริ่มธุรกิจโดยส่วนใหญ่แล้ว เท่าที่ผมเคยเห็นมาหลายๆคนแล้วจะพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่ตัวเองมีก่อน
ไม่ว่าสูตรเด็ดอาหาร สไตล์การออกแบบเสื้อผ้า ทำเลที่ตั้งที่เป็นบ้านของเราเอง
หรือแม้แต่ความสามารถของเรา
หลายๆคนสามารถไปได้ดีกับการนำตัวของเราและสิ่งที่เรามีออกไปทำธุรกิจ
แต่หลายคนก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ยกตัวอย่าง
มีเพื่อนผมคนนึงเรียนการทำกาแฟมาเป็นอย่างดี รสชาติที่ทำไม่ด้อยกว่าร้านดังๆแน่นอน
คอกาแฟต่างๆชื่นชมตอนที่ได้ลองชิม ปัญหาคือเนื่องจากต้องการลดต้นทุนในการทำธุรกิจ
จึงอาศัยพื้นที่ของบ้านมาเป็นร้าน ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะว่าสมัยนี้ค่าเช่าเป็นเรื่องใหญ่ของการทำร้านค้าต่างๆ
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำเลของร้านเนี่ยมันอยู่ลึกมากและไม่มีที่จอดรถ โดยที่ไม่ต้องเดา
สุดท้ายไปไม่รอดครับ ถึงแม้กาแฟจะอร่อยพอควร อีกตัวอย่างนึงคือว่าเปิดร้านอาหารอยากจะทำร้านส้มตำแนวฟิวชั่น
ที่เมืองในภาคอีสาน ถึงจะเป็นการตลาดที่แตกต่าง
แต่ว่าลูกค้าที่โน่นยังไม่ได้ต้องการส้มตำฟิวชั่นมาแทนส้มตำแบบเดิมของเค้า ณ
เวลานี้ สุดท้ายก็ม้วนเสื่อไปเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างที่ผมยกตัวอย่างไปทั้งสองอย่างนั้นเหมือนกันเด้ะ
ไม่ฟังผู้บริโภค
เราอยากแค่จะขายสิ่งที่เรามีแล้วบังคับให้ผู้บริโภคมาชอบสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราคิดไปเองว่าดีสำหรับผู้บริโภค
จริงๆแล้วก็ไม่ผิดนะครับ หลายๆคนทำได้ดีกับการเริ่มต้นแบบนี้
แต่จริงๆแล้วมันมีวิธีดีกว่านั้น
ทำไมเราไม่ฟังเสียงลูกค้าบ้างล่ะ?? การฟังความต้องการของลูกค้าเพื่อหยั่งเชิงตลาดและทำให้เรารู้แน่นอนแล้วว่ามีความต้องการแบบนั้นแน่ๆ
ก่อนเราจะเริ่มลงมือทำอะไรลองหาข้อมูลเยอะๆ ฟังจากผู้บริโภคเยอะๆ
ฟังจากกลุ่มเป้าหมายของเราว่าเค้ามีความต้องการอะไร บางทีเค้าไม่ได้บอกเราตรงๆ แต่เราจำเป็นต้องแปลงข้อมูลเหล่านั้น
ไม่ว่ามาจากการสังเกต มาจากพฤติกรรม หรือแม้แต่สิ่งที่เค้าพยายามบอกเรา
ผมเองมีเพื่อนต่างชาติที่เคยเปิดร้านกาแฟที่ยุโรปมาและก็ทำได้ดีมากๆด้วย
ซึ่งสิ่งที่เพื่อนผมคนนี้ทำก็คือเมื่อตอนอยู่ที่ยุโรป
เค้ารู้ว่าคนยุโรปนั้นให้ความสำคัญกับการกินกาแฟมาก กาแฟดำหรือ espresso
shot นั้นคือการวัดคุณภาพกาแฟทุกอย่าง
ให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของเมล็ดกาแฟมากๆ blend ยังไงใช้สายพันธ์อะไร
และที่สำคัญ กาแฟร้อนเท่านั้นเพราะว่าจะให้กลิ่นกาแฟและรสชาติหอมขึ้นจมูกทีเดียว
แต่ในประเทศไทยไม่ได้เป็นแบบนั้น
สิ่งที่เพื่อนผมคนนี้ทำก็คือเค้าต้องการเปิดร้านที่เชียงใหม่ อย่างแรกเลย
เค้าไปนั่งที่ร้านกาแฟต่างๆ ชิมทุกเมนู และนั่งอยู่ที่ร้านนั้นนานมากๆเพื่อสังเกตพฤติกรรมของลูกค้า
สิ่งที่เค้าเจอคือ ถึงแม้จะอากาศหนาวในหน้าหนาว คนไทยก็ยังกินกาแฟเย็น และของที่ขายดีในร้านกาแฟไทยไม่ใช่กาแฟ
แต่เป็นชาและนม และที่สำคัญที่สุดคือร้านกาแฟไม่ได้ขายกาแฟเป็นแก่น
แต่ขายน้ำหวานกลิ่นกาแฟซึ่งแปลก แต่คนไทยชอบ!! เท่านั้นแหล่ะเค้าต้องโยนความรู้ทุกอย่างที่เคยทำที่ยุโรปมาทิ้งทั้งหมด
เพราะว่าคนไทยบริโภคกาแฟคนละแบบกับคนยุโรปอย่างสิ้นเชิง
หากเพื่อนผมคนนี้เค้าเดินตามแบบเดิมที่เค้าเคยทำสำเร็จ
ตอนจบของเรื่องนี้คงเดาได้ไม่ยากหากเค้ามาเปิดตลาดในไทย
แต่สิ่งที่เกิดมันต่างกันออกไปครับ
ที่ยกตัวอย่างเป็นร้านกาแฟทั้งสองอย่างมาให้ฟังเพื่อที่จะให้เห็นภาพของธุรกิจเดียวกันแต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ผู้บริโภคครับหากเรารู้จักผู้บริโภคของเราดี
เราย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
ส่วนอีกครึ่งคือเราจะส่งมอบสิ่งนั้นๆให้กับลูกค้าได้ดีอย่างไร
นั่นคือสิ่งที่เราต้องหาคำตอบคำ
จากนี้หากคุณกำลังจะเริ่มกิจการของตัวเอง
ลองฟังเสียงของลูกค้ารอบๆตัวคุณ ลองฟังเสียงลูกค้าของคู่แข่งของคุณดู
บางทีสิ่งที่คุณอยากจะทำอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าคุณอยากจะได้ก็เป็นได้ครับ
YES Club (Young Entrepreneur Society)
#การทำธุรกิจ #ฟังเสียงลูกค้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น