วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

ถึงเวลารุ่นต่อไปแล้วหรือยัง???



ถึงเวลารุ่นต่อไปแล้วหรือยัง???




วันก่อนทางเพจได้ลงบทความ 5 เคล็ดลับ ทายาทธุรกิจ ตามลิงค์นี้ http://goo.gl/r4oWXB วันนี้ก็เลยอยากเขียนต่อจากเรื่องราวของธุรกิจที่ต้องส่งไม้ต่อให้กับรุ่นทายาท พอเองได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของหลายๆธุรกิจที่ได้เปลี่ยนไม้เปลี่ยนมือจากรุ่นนึงไปสู่อีกรุ่นนึงมาหลายๆกิจการ ซึ่งหลายๆกิจการหลังจากเปลี่ยนผ่านมาถึงรุ่นถัดไปแล้วบ้างก็ล้มหายตายจากไปทำได้ไม่ดีเท่ารุ่นก่อนๆ แต่หลายๆกิจการก็สามารถต่อยอดธุรกิจไปได้อย่างดีและเติบโตใน platform ธุรกิจที่แตกต่างและต่อยอดออกไปได้ดี



เคยได้รู้จัก เซียงเพียวอิ้ว น้ำมันกวางลุ้ง หรือแม้กระทั่งยาหม่องตราเสือมั้ยครับ ผมเดาว่าน่าจะพอรู้จักกันบ้าง จากที่ผมเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กนั้น ธุรกิจของทั้ง 3 แบรนด์ก็ทำได้ง่ายๆ เรียกได้ว่าแบบตรงไปตรงมาทำสินค้าหลักๆอยู่สองสามอย่างแต่จะไม่เน้นการแตกไลน์สินค้าไป ช่องทางการจำหน่ายก็จะเป็นช่องทางเดิมๆไม่ว่าจะเป็นร้านขายยาหรือโชว์ห่วยทั่วไป ไม่มีโปรโมชั่น ไม่มีการ re-brand หรือปรับแพ็คเกจกันเท่าไร เป็นการทำตลาดโดยการใช้สินค้าเป็นตัวนำ ความแตกต่างอยู่ที่ตัวสินค้าเป็นหลักและสรรพคุณที่เหล่าลูกค้าผูกพันกันมาเรียกได้ว่าสูตรเดิม แพ็คเกจเดิม ร้านค้าเดิมๆ ก็ขายอยู่เรื่อยมาไม่ได้หวือหวาอะไร ซึ่งหากไม่ทำอะไรเลยสินค้าตัวนี้ก็จะยังจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิมที่อายุมากไปพร้อมๆกันได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายที่อายุน้อยกว่าล่ะ?? สินค้าเหล่านี้ไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายที่เด็กกว่าหรือเป็นกลุ่มรุ่นลูกของกลุ่มลูกค้าเดิมได้อย่างแน่ๆ เพราะเป็นสินค้าที่เน้นเจาะกันคนละกลุ่มเลยเข้าไม่ถึง แต่ในเมื่อกลุ่มเป้าหมายปัจจุบันก็มีอายุเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ การตลาดแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์



สิ่งที่แบรนด์เหล่านี้ทำคือการส่งไม้ต่อให้คนรุ่นต่อไป ไม่ใช่ว่าคนรุ่นต่อมาจะเก่งกว่าหรืออะไรนะครับ แต่ว่า platform การแข่งขันที่เปลี่ยนไปต่างหากและการเข้าถึงเทคโนโลยีและเครื่องมือการตลาดที่เปลี่ยนไปหรือว่าความเข้าใจผู้บริโภคที่มากกกว่าทำให้การแข่งขันและกลยุทธ์ของรุ่นต่อมาที่รับไม้ต่อแข่งกันอีกรูปแบบหนึ่ง ผมเห็นการรีแบรนด์เพื่อให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่อายุน้อยลง พร้อมกับการแตกไลน์สินค้าเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น ตอนนี้เราเห็น ทั้ง 3 แบรนด์ที่ยกตัวอย่างมากำลังเป็นแบบนั้นและพยายามเข้าไปนั่งครองใจผู้บริโภค ในแบบที่แตกต่างจากอดีตออกไป มีการทำแพ็คเกจที่ใหม่ ดูทันสมัยขึ้น ถึงแม้ประโยชน์ของสินค้าจะไม่ได้แตกต่าง แต่ส่วนการตลาดอื่นๆแทบจะเรียกได้ว่าพลิกไปเลย



สุดท้ายนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือความท้าทายของผู้บริหารหรือเจ้าของในรุ่นก่อนว่ามีวิสัยทัศน์มากแค่ไหนในการส่งไม้ต่อให้กับรุ่นถัดไปเพื่อมาต่อกรและสู้รบในสมรภูมิที่แตกต่างกันออกไปแล้ว บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่จะทำอะไรซักอย่างแทนการโทษว่าส่งไม้ต่อไปให้รุ่นต่อไปเป็นความเสี่ยงที่ไม่รู้ว่าจะพาเรือลำนี้ไปได้ไกลกว่าเดิมมั้ย บางครั้งเราอาจจะแค่คิดไปเองว่ารุ่นต่อไปจะทำได้แย่กว่าเราโดยที่เราไม่เคยได้ให้ได้ลองแบบนั้น แต่หากวันนี้คุณยังไม่ได้เตรียมแผนการส่งไม้ต่อและกลุ่มเป้าหมายสินค้าคุณเริ่มเปลี่ยนไป มันอาจจะถึงเวลาที่เตรียมส่งไม้ต่อให้รุ่นถัดไปมาช่วยคุณต่อยอดธุรกิจแล้วก็เป็นได้ครับ



YES Club (Young Entrepreneur Society)



#ทายาทธุรกิจ

ไปพักผ่อนบ้างนะครับ


สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสใช้เวลาพักผ่อนโดยการท่องเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว ซึ่งไม่ค่อยได้มีโอกาสไปด้วยกันเท่าไหร่นัก เพราะต่างคนต่างมีภารกิจการงานนับตั้งแต่เรียนจบและมาทำงาน ก่อนไปผมค่อนข้างมีอะไรให้คิดเยอะแยะ แต่หลังจากไปเที่ยวได้ชมธรรมชาติ ใช้ชีวิตช้าๆ ตามใจเรา ใช้เงินตามใจเรา ทำให้รู้สึกเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง หลังจากกลับมาทำให้ผมมีมุมมองในการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป จึงขออนุญาตแชร์แง่คิดที่ได้จากการไปเที่ยวครั้งนี้ครับ

1. โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม ยังมีที่อีกมากมายที่รอเราไปดื่มดำความสุข ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติบ้าง คนเรายิ่งอยู่กับคอนกรีตชีวิตยิ่งเฉา ยิ่งอยู่กับธรรมชาติชีวิตยิ่งเบิกบาน
2. การไปต่างถิ่นทำให้เราเห็นอะไรที่ต่างมุมออกไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต อาหารการกิน หรือการอยู่ร่วมกันในสังคม ปัญหาของคนอื่นอาจเป็นเรื่องเล็กสำหรับเรา แต่ปัญหาของเราก็อาจเป็นเรื่องเล็กมากสำหรับคนอื่นก็ได้
3. การที่เราแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่มีความสุข เราจะมีความสุขโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเราควรทำตัวให้มีความสุขเพื่อให้คนรอบข้างเรามีความสุข เมื่อคนรอบข้างมีความสุข เราก็จะมีความสุขด้วย (งงมั้ยครับ หุหุ)
4. เมื่อเราอยู่ต่างถิ่น เราจะรับข้อมูลข่าวสารน้อยลง ทุกวันนี้ข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ยิ่งห่างไกลกับเทคโนโลยี ทำให้เรามีเวลากับตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น ชีวิตเราก็จะมีความสุขขึ้น
5. การออกจากชิวิตเดิมๆ ไปชั่วขณะ ทำให้เราเลิกนิสัยแย่ๆ บางอย่างได้แบบอัตโนมัติ
6. อย่ามัวแต่หาเงินอย่างเดียวจนลืมหาความสุข ถ้าทำงานแล้วไม่มีความสุข เคยได้ยินว่ามีสองวิธีคือหางานใหม่ หรือหาวิธีทำงานเดิมของเราให้มีความสุขให้ได้ แต่ผมขอเสนอวิธีที่สามคือไปพักผ่อนแบบลืมงานไปเลย เดี๋ยวก็มีความสุขเอง อิอิ
7. การที่เราอยู่ห่างปัญหาที่แก้ได้และแก้ไม่ได้ พอกลับมาอีกที กลับพบว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เสร็จ นี่เป็นเรื่องของเวลาเปลี่ยนปัญหาเปลี่ยน และการออกห่างจากสภาพแวดล้อมเดิมทำให้เรามองปัญหาเล็กลงๆ
8. การเดินทางที่มีความสุขนั้นคือการตั้งเป้าว่าจะไปถึงที่ไหนด้วยวิธีอะไร ส่วนสิ่งที่เราเจอรอบทาง เช่น ธรรมชาติที่สวยงาม หรือผู้คนที่ดีงามนั้นคือกำไรชีวิต เช่นเดียวกันกับการทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือตั้งเป้าหมายและหาวิธีการ แต่ประสบการณ์รอบตัวนั้นไม่ต้องคาดหวังว่าจะเจออะไร ไม่ว่าจะดีหรือร้ายทุกอย่างก็คือกำไรชีวิต จำไว้ว่าความสุขมักเกิดขึ้นระหว่างทางเสมอ ประสบการณ์สำคัญไม่แพ้ผลลัพธ์ปลายทาง
9. การไปเที่ยวพักผ่อนให้เต็มที่นั้น 1) ควรไปอย่างน้อย 5 -7 วัน เพราะมันจะทำให้เราได้ใช้ชีวิตเต็มที่ 2)ควรไปหาธรรมชาติมากกว่าป่าคอนกรีต 3)ไปตอนที่คนอื่นเค้าไม่ไป เลี่ยงช่วงเทศกาล เพราะจะทำให้โลกนี้เป็นของเราคนเดียว 4) ไปกับครอบครัวหรือคนที่เรารักเท่านั้น 5) ใช้เงินให้เต็มที่ตามกำลังตัวเอง จะได้รู้ว่าโมเม้นท์ของอิสรภาพทางการเงินและเวลาเป็นยังไง

ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขครับ
‪#‎kal‬ ‪#‎yesclub‬ ‪#‎travel‬ ‪#‎financialfreedom‬ ‪#‎tourism‬

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

เสียงของลูกค้าสำคัญไฉน?




เสียงของลูกค้าสำคัญไฉน?


ในการเริ่มธุรกิจโดยส่วนใหญ่แล้ว เท่าที่ผมเคยเห็นมาหลายๆคนแล้วจะพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่ตัวเองมีก่อน ไม่ว่าสูตรเด็ดอาหาร สไตล์การออกแบบเสื้อผ้า ทำเลที่ตั้งที่เป็นบ้านของเราเอง หรือแม้แต่ความสามารถของเรา หลายๆคนสามารถไปได้ดีกับการนำตัวของเราและสิ่งที่เรามีออกไปทำธุรกิจ แต่หลายคนก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ยกตัวอย่าง มีเพื่อนผมคนนึงเรียนการทำกาแฟมาเป็นอย่างดี รสชาติที่ทำไม่ด้อยกว่าร้านดังๆแน่นอน คอกาแฟต่างๆชื่นชมตอนที่ได้ลองชิม ปัญหาคือเนื่องจากต้องการลดต้นทุนในการทำธุรกิจ จึงอาศัยพื้นที่ของบ้านมาเป็นร้าน ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะว่าสมัยนี้ค่าเช่าเป็นเรื่องใหญ่ของการทำร้านค้าต่างๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำเลของร้านเนี่ยมันอยู่ลึกมากและไม่มีที่จอดรถ โดยที่ไม่ต้องเดา สุดท้ายไปไม่รอดครับ ถึงแม้กาแฟจะอร่อยพอควร อีกตัวอย่างนึงคือว่าเปิดร้านอาหารอยากจะทำร้านส้มตำแนวฟิวชั่น ที่เมืองในภาคอีสาน ถึงจะเป็นการตลาดที่แตกต่าง แต่ว่าลูกค้าที่โน่นยังไม่ได้ต้องการส้มตำฟิวชั่นมาแทนส้มตำแบบเดิมของเค้า ณ เวลานี้ สุดท้ายก็ม้วนเสื่อไปเช่นเดียวกัน

ตัวอย่างที่ผมยกตัวอย่างไปทั้งสองอย่างนั้นเหมือนกันเด้ะ ไม่ฟังผู้บริโภค เราอยากแค่จะขายสิ่งที่เรามีแล้วบังคับให้ผู้บริโภคมาชอบสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราคิดไปเองว่าดีสำหรับผู้บริโภค จริงๆแล้วก็ไม่ผิดนะครับ หลายๆคนทำได้ดีกับการเริ่มต้นแบบนี้ แต่จริงๆแล้วมันมีวิธีดีกว่านั้น

ทำไมเราไม่ฟังเสียงลูกค้าบ้างล่ะ?? การฟังความต้องการของลูกค้าเพื่อหยั่งเชิงตลาดและทำให้เรารู้แน่นอนแล้วว่ามีความต้องการแบบนั้นแน่ๆ ก่อนเราจะเริ่มลงมือทำอะไรลองหาข้อมูลเยอะๆ ฟังจากผู้บริโภคเยอะๆ ฟังจากกลุ่มเป้าหมายของเราว่าเค้ามีความต้องการอะไร บางทีเค้าไม่ได้บอกเราตรงๆ แต่เราจำเป็นต้องแปลงข้อมูลเหล่านั้น ไม่ว่ามาจากการสังเกต มาจากพฤติกรรม หรือแม้แต่สิ่งที่เค้าพยายามบอกเรา ผมเองมีเพื่อนต่างชาติที่เคยเปิดร้านกาแฟที่ยุโรปมาและก็ทำได้ดีมากๆด้วย ซึ่งสิ่งที่เพื่อนผมคนนี้ทำก็คือเมื่อตอนอยู่ที่ยุโรป เค้ารู้ว่าคนยุโรปนั้นให้ความสำคัญกับการกินกาแฟมาก กาแฟดำหรือ espresso shot นั้นคือการวัดคุณภาพกาแฟทุกอย่าง ให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของเมล็ดกาแฟมากๆ blend ยังไงใช้สายพันธ์อะไร และที่สำคัญ กาแฟร้อนเท่านั้นเพราะว่าจะให้กลิ่นกาแฟและรสชาติหอมขึ้นจมูกทีเดียว แต่ในประเทศไทยไม่ได้เป็นแบบนั้น สิ่งที่เพื่อนผมคนนี้ทำก็คือเค้าต้องการเปิดร้านที่เชียงใหม่ อย่างแรกเลย เค้าไปนั่งที่ร้านกาแฟต่างๆ ชิมทุกเมนู และนั่งอยู่ที่ร้านนั้นนานมากๆเพื่อสังเกตพฤติกรรมของลูกค้า สิ่งที่เค้าเจอคือ ถึงแม้จะอากาศหนาวในหน้าหนาว คนไทยก็ยังกินกาแฟเย็น และของที่ขายดีในร้านกาแฟไทยไม่ใช่กาแฟ แต่เป็นชาและนม และที่สำคัญที่สุดคือร้านกาแฟไม่ได้ขายกาแฟเป็นแก่น แต่ขายน้ำหวานกลิ่นกาแฟซึ่งแปลก แต่คนไทยชอบ!! เท่านั้นแหล่ะเค้าต้องโยนความรู้ทุกอย่างที่เคยทำที่ยุโรปมาทิ้งทั้งหมด เพราะว่าคนไทยบริโภคกาแฟคนละแบบกับคนยุโรปอย่างสิ้นเชิง หากเพื่อนผมคนนี้เค้าเดินตามแบบเดิมที่เค้าเคยทำสำเร็จ ตอนจบของเรื่องนี้คงเดาได้ไม่ยากหากเค้ามาเปิดตลาดในไทย แต่สิ่งที่เกิดมันต่างกันออกไปครับ ที่ยกตัวอย่างเป็นร้านกาแฟทั้งสองอย่างมาให้ฟังเพื่อที่จะให้เห็นภาพของธุรกิจเดียวกันแต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ผู้บริโภคครับหากเรารู้จักผู้บริโภคของเราดี เราย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนอีกครึ่งคือเราจะส่งมอบสิ่งนั้นๆให้กับลูกค้าได้ดีอย่างไร นั่นคือสิ่งที่เราต้องหาคำตอบคำ

จากนี้หากคุณกำลังจะเริ่มกิจการของตัวเอง ลองฟังเสียงของลูกค้ารอบๆตัวคุณ ลองฟังเสียงลูกค้าของคู่แข่งของคุณดู บางทีสิ่งที่คุณอยากจะทำอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าคุณอยากจะได้ก็เป็นได้ครับ

YES Club (Young Entrepreneur Society)
#การทำธุรกิจ #ฟังเสียงลูกค้า